ช่วงนี้ครบรอบ 3 ปีแห่งการไปเยือนเสียมราฐพอดี
ก็เลยขอเขียนบล็อกย้อนรำลึกถึงตอนเที่ยวเสียมราฐสมัยโน้นเสียหน่อย
*ภาพในบล็อกได้มาจากเพื่อนสะไม สหายผู้ร่วมทริปครั้งนี้
การไปเยือนเสียมราฐ หรือจะเรียกว่าเสียมเรียบก็ได้
สมัยเมื่อ 3-4 ปีก่อนนู่นนะ (ปี 2012) ถ้าอยากประหยัดเงินต้องนั่งรถไปลงโรงเกลือ
แล้วต่อรถฟรีจากด่านไปท่ารถปอยเปต แล้วก็นั่งรถบัสหรือเหมาแท๊กซี่ไป
ตอนนี้สบายแล้ว มีแอร์เอเชียบินลง ราคาตอนโปรฯ ก็จับต้องได้
อยากจิสอยตั๋วไปอีกรอบจริงๆ เลยน้า (~ ̄▽ ̄)
โชคดีรอบนั้นเราได้อาศัยติดรถทั้งขาไป-กลับ
กับครอบครัวพี่คนไทยที่เหมารถจะเที่ยวเสียมเรียบพอดี
ค่ารถเลยไม่ต้องเสีย เย้!
ออกจากกรุงเทพฯ เช้าๆ กว่าจะมาถึงเสียมราฐก็เย็นพอดี
มาหาข้าวกินแถว pub street มีร้านรวงเยอะแยะไม่ต้องกลัวอดตาย
ช่วงที่เราไปคือวันที่ 3-5 สิงหาคม 2012
เที่ยววันเดียว เดินทาง 2 วัน
ตอนเย็นวันแรกก็ให้ที่พักติดต่อตุ๊กๆ ไว้ให้
หรือจะเดินหาตุ๊กๆ ตอนเย็นไว้แล้วนัดให้มารับก็ได้
หรือจะเดินหาตอนเช้าก็ได้เหมือนกัน
ตุ๊กๆ ที่เสียมราฐ ออกเสียงเรียกคล้ายๆ คำว่า ละเมาะโมโต
แต่ฝรั่งเรียกตุ๊กๆ ตามแบบตุ๊กๆ พี่ไทย
ดังนั้นคนที่นี่ส่วนใหญ่ก็เรียกตุ๊กๆ แหละ
ตอนเช้าเริ่มเดินทาง 8 โมงไปซื้อตั๋ว 1 วันราคา 20$
ลืมบอกไปว่า ที่เสียมราฐส่วนใหญ่จะใช้เงินสกุลดอลล่า กับเงินเรียล (เงินบาทบางที่ก็รับ)
แม้จะมีการรณรงค์ให้ใช้เงินสกุลเรียล แต่ก็ไม่ค่อยนิยมนัก
บางทีจ่ายเป็นดอลล่าห์จะได้ทอนเป็นเงินเรียลบ้าง
ตั๋วของพวกเรา
หลังจากซื้อตั๋วเสร็จก็นั่งตุ๊กๆ เข้าโซนปราสาทได้เลย
ที่แรก
| ANGKOR WAT|
อังกอร์วัด หรือ ปราสาทนครวัด
ปราสาทนครวัดหันหน้าไปทางทิศตะวันตก
สร้างเป็นสุสานไม่ใช่ปราสาทสำหรับอยู่อาศัย
ตอนไปเที่ยวมีแต่คนทักว่าเป็นคัมโบเดี่ยนใช่มั้ย
เราเข้าใจว่า เขาชมว่าเราสวยเหมือนอัปสรา
อันนี้มีอัปสราให้ถ่ายรูปด้วย เสียตังค์ด้วยนะจ๊ะ
จบจากทัวร์นครวัด ใช้เวลาร่วมครึ่งเช้า
ก็นั่งตุ๊กๆ ไปต่อที่
| ANGKOR THOM|
ก่อนไปถึงนครธมก็จะเจอกับประตูทางเข้าทางทิศใต้
ที่มีรูปแกะสลักพิธีกวนเกษียรสมุทรอยู่
ในเมื่อนครวัดเป็นสุสาน นครธมจึงเป็นเมืองหลวง มีปราสาทและที่อยู่อาศัย
แต่สิ่งก่อสร้างที่เป็นตัววังจริงๆ ไม่เหลือแล้วล่ะ เพราะสร้างจากไม้เป็นส่วนใหญ่
เลยเหลือแต่สิ่งก่อสร้างจำพวกหิน นั่นคือเทวาลัยต่างๆ
|ปราสาทบายน|
จุดเด่นของที่นี่เลยคือปราสาทที่มีรูปสลักหน้าคนอยู่เต็มไปหมด
ไม่ขอฟันธงว่าเป็นหน้าใครนะ เราไม่แน่ใจ
ขอคัดคำพูดของปีแอร์ ผู้ค้นพบปราสาทเป็นคนแรกๆ ว่า
"ข้าพเจ้าแหงนหน้าขึ้นไปยังปราสาทที่มีต้นไม้ปกคลุม
ซึ่งทำให้ตัวเองรู้สึกเหมือนคนแคระ
และทันทีทันใดเลือดในตัวข้าพเจ้าก็เกิดแข็งเย็นขึ้นมา
เมื่อมองเห็นรอยยิ้มขนาดมหึมาที่กำลังมองลงมา
แล้วก็รอยยิ้มอีกด้านหนึ่งเหนือกำแพงอีกด้านหนึ่ง
แล้วก็รอยยิ้มที่สามแล้วก็รอยยิ้มที่ห้า แล้วก็ที่สิบ ปรากฏจากทั่วสารทิศ
ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนมีตาคอยจ้องมองอยู่ทุกทิศทาง”
ความรู้สึกของนายปีแอร์เป็นอย่างไร คงต้องมาสัมผัสกันเอง
เดินเล่นเสพประวัติศาสตร์แถวนี้เสร็จ
ถ้ามีเวลาก็ให้ตุ๊กๆ วนไปปราสาทอื่นๆ อีกก็ได้
มีปราสาทมากมายกระจายตัวอยู่ที่นี่
แต่ที่ไม่อยากให้พลาดเลยคือ ปราสาทตาพรหม
หรือปราสาททูมไรเดอร์นั่นแหละ
ภาพปราสาทที่ถูกต้นสะปงต้นใหญ่เกี่ยวพัน น่าดูไม่ใช่เล่น
ที่ไม่ตัดต้นไม้ออกไม่ใช่เพราะต้องการให้ขลัง
แต่เป็นเพราะว่ารากต้นสะปงยึดเกาะก้อนหินไว้จนแทบเป็นหนึ่งเดียวกัน
ถ้าตัดต้นสะปงออก ก้อนหินก็จะพังทลายลง ประมาณนี้แหละ
หลายคนรู้จักที่นี่เพราะชื่อเสียงว่า เป็นปราสาทที่มีต้นสะปงใหญ่เกาะไว้
อีกหลายคนรู้จักหนังดังจากทูมไรเดอร์
ไม่ว่าจะรู้จักไหนก็ตามก็น่ามาให้เห็นกับตาทั้งนั้นแหละ
ขากลับถ้าใครอยากดูพระอาทิตย์ตก มีจุดให้ดูอีกหลายแห่ง
ถ้าคิดไม่ออก ถามพี่ตุ๊กๆ ดูก็ได้
ตอนเย็นก็กินข้าว หาของฝากแถวผับสตรีท
รุ่งขึ้นก็เลือกทางกลับตามกำลังทรัพย์
เดี๋ยวนี้มีบินตรงแบบโลคอส หรือจะนั่งรถทัวร์ของ ขสมก.ก็ได้ สะดวกดีเหมือนกัน
จบทริปปราสาท ทริปนี้หมดไปแค่ราวๆ 100 $