วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2560

It's about BEIJING

ปักกิ่ง



ปีที่แล้วบังเอิญไปเจอรูปกำแพงเมืองจีนที่ยื่นไปบรรจบกับน้ำทะเล ส่วนนั้นคนจีนเรียกว่า Lao Long Tou ส่วนฝรั่งเรียก Old Dragon's Head ส่วนเราเรียกหัวมังกรเฒ่าแห่งกำแพงเมืองจีน

ความรู้สึกนั้นคือ คูลมากๆ ค่ะ ถ้าจะไปจีนทั้งทีแค่กำแพงอย่างเดียวมันยังมีแรงดึงดูดไม่พอ มันต้องไปส่วนหัวด้วย และเหตุผลแค่นี้แหละที่ทำให้อยากไปจีนตงิดๆ แต่ต้องทดในใจไว้ก่อน



ดังนั้นพอสบโอกาส อินี่ก็ยื่นโครงการและจองตั๋วไปปักกิ่งเลยจ้ะ เบ็ดเสร็จ 5 วัน 4 คืน

และจากประสบการณ์ส่วนตัว เมืองจีนที่เขาคนไหนเล่าลือกันนั้น ผิดจากปักกิ่งที่ข้าพเจ้าพบเจอมาเลยจ้า
เพราะสิ่งที่ได้เจอคือ

  • ปักกิ่งสะอาดมากกว่ากรุงเทพ ขยะสักชิ้นแทบไม่เจอ 
  • การคมนาคมที่ปักกิ่งสะดวกสบายกว่ากรุงเทพ
  • ห้องน้ำส่วนใหญ่พัฒนาแล้ว มีแบบจีนและแบบตะวันตก แต่เนื่องจากนักท่องเที่ยวเยอะ มันก็เลยอาจจะมีไม่สะอาดบ้าง มีกลิ่นบ้าง แต่โดยรวมก็ไม่ต่างอะไรจากสถานที่ท่องเที่ยวที่คนเยอะๆ ที่อื่น (แบบห้องน้ำหมอชิตช่วงเทศกาลอ่ะ) และพกทิชชู่เปียก-แห้งติดตัวไว้จะดีมาก
  • คนไม่ได้โหวกเหวกโวยวายอย่างที่คิดเลย (แต่ที่สนามบินขากลับพอพ้นเขต ตม.จีน พี่แกก็แสดงอิทธิฤทธิ์เลยจ้า)

เดินทาง 27 พ.ค - 1 มิ.ย 60

ต่อไปนี้คือการไปเมืองจีนแผ่นดินใหญ่ครั้งแรก ของหญิงไทยเชื้อสายจีน ผู้ที่พูดจีนไม่ได้* ฟังไม่ออกและรู้จักศัพท์เป็นบางคำแค่นั้นเอง
*ปัจฉิมลิขิต ๑ ภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยจะได้เช่นเดียวกัน

Day 00- May 27, 2017

ออกเดินทางจากสุวรรณภูมิด้วยสายการบินการบินไทย รักคุณเท่าฟ้า  
ตั๋วไปปักกิ่งของการบินไทยจะอยู่ที่ราวๆ 12-13,xxx บาท (บิน 4.40 hr)  แต่ถ้าเป็นสายการบินจีนต้องไปต่อเครื่องก็จะราวๆ 7-8000 แต่ใช้เวลาต่างกันครึ่งต่อครึ่ง
แต่เที่ยวนี้ดีเลย์ เลยได้ออกจริงๆ ก็เกือบตี 1 หลับไม่รู้เรื่องตื่นมาอีกทีปักกิ่งเลยจ้า




Day 01- May 28, 2017

มาถึงสนามบินปักกิ่งเราก็จะกังวลหน่อยๆ เพราะยังเกรงๆ กับคำว่าประเทศคอมมิวนิสต์อยู่
แต่พอลองมาเที่ยวก็เห็นว่าเหมือนบ้านเรานี่แหละ การคมนาคมก็ดี ถนนหนทางสะอาดมากกว่ากรุงเทพเสียอีก มีเลนจักรยานต่างหากข้างละเลน แล้วเป็นเลนใหญ่ด้วยนะ Subway เอย รถเมล์รถบัสเอย แสนจะสะดวก

บอกในฐานะนักท่องเที่ยวว่า ปักกิ่งเที่ยวสะดวกมาก


แต่เพื่อนที่ไปอาศัยอยู่ปักกิ่งก็เล่าว่าความเจริญมันก็กระจุกอยู่แค่ที่ปักกิ่งนี่แหละ ถึงอย่างนั้นปักกิ่งก็สร้างความประทับใจให้เราพอสมควรเลย

วิธีเดินทางจากสนามบินเข้าตัวเมืองปักกิ่งมี 2 วิธีคือนั่ง AE (Airport Express) ไปต่อ Subway หรือนั่งรถบัสไปตามจุดจอดต่างๆ แต่ก่อนอื่นขอแนะนำให้ซื้อบัตร อี้ข่าถ่ง หรือบัตร IC Card บัตรสารพัดประโยชน์ที่จะทำให้การขึ้นลงรถเมล์หรือซับเวย์ของเราง่ายขึ้น ซื้อและคืนบัตรได้ที่เคาเตอร์ AE ที่สนามบินเลยสะดวกมาก บัตรอี้ข่าถงราคา 100 หยวน (เป็นมัดจำ 20 หยวน) 5 วันในปักกิ่งเราใช้พอดีไม่ต้องเติมเงินเพิ่ม ถือว่าค่าเดินทางในปักกิ่งไม่แพงเลย

พอได้บัตรอี้ข่าถ่ง เราเลือกเข้าเมืองโดยนั่งรถบัสไปลงที่ Beijing Railway Station เพราะเราต้องไปแลกตั๋วรถไฟก่อนและโรงแรมก็อยู่ใกล้ๆ กับที่นี่พอดี




ไปถึง Beijing Railway Station นี่ก็ต้องตะลึงกับจำนวนคนมากมายมหาศาล แล้วก็ไปแลกตั๋วด้านใน Ticket Office เนื่องจากเราจองตั๋วจากเวป Ctrip เอาไว้แล้ว ไปถึงก็แค่ยื่นหมายเลขการจองกับพาสปอร์ตเป็นอันเสร็จสิ้น แต่ระหว่างนั้นก็มีพี่จีนคอยเนียนๆ เข้ามาแซงคิวตลอด

* สำหรับคนที่จะเดินทางในจีนและใช้บริการรถไฟเราแนะนำว่าจองตั๋วจากเอเจนซี่ไปก่อนจะดีกว่า ตัดปัญหาเรื่องตั๋วเต็ม การสื่อสาร และป้องกันการจองผิดสถานี แต่ทั้งนี้ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาพอสมควร


ได้ตั๋วแล้ว เราก็ไปโรงแรม
พักที่ Pentahotel Beijing ด้วยเหตุผลว่าติดกับรถไฟใต้ดิน
ราคาคืนละ 3,300 บาท รวมภาษีและอาหารเช้า ชอบที่นี่มาก
สะอาด ห้องกว้างขวาง พนักงานดี ที่สำคัญอาหารเช้าอร่อย หลากหลาย เลิฟที่นี่ค่ะ 💛💛



มื้อเที่ยง กินใต้โรงแรม ที่นี่มีก๋วยเตี๋ยวขายช่วงบ่ายกับเย็นๆ จนถึงค่ำ
เมนูที่สั่งคือก๋วยเตี๋ยวเนื้อ (อร่อย ชามโครตใหญ่) และ ก๋วยเตี๋ยวปักกิ่ง ใช่ค่ะ..
นอกจากเป็ดปักกิ่งแล้วที่นี่ยังมีก๋วยเตี๋ยวปักกิ่งด้วย! รสชาติประหลาดๆ บอกไม่ถูก แต่กินได้เหมือนใส่เต้าเจี้ยวหรือเต้าหู้ยี้ (หรือเต้าหู้เหม็น) เออมันก็แปลกๆ ดี (แต่ถ้าให้สั่งอีกคงไม่เอาอ่ะ ก๋วยเตี๋ยวเนื้ออร่อยกว่า)


ตอนบ่ายไป Summer Palace พระราชวังฤดูร้อน จะซื้อตั๋วเหมา คุณน้าคนขายไม่ขายให้ ทำนองว่าแกเข้าไม่หมดหรอก (เราไปถึงตอนบ่าย2) ซึ่งก็จริง เราเหนื่อยจากการเดินทางมาพอสมควรแล้วเลยแค่เดินชมริมทะเลสาบเท่านั้นเอง
ตอนบ่ายอากาศก็ร้อนมากสมเป็นพระราชวังฤดูร้อน แล้วก็ไกลมาก (45 นาทีในรถไฟใต้ดิน)

กิจกรรมยอดฮิตและอยากให้ลองคือ ปั่นเรือ เราไม่ได้ปั่นเพราะเรือเล็กต้องรอคิวอีกนาน เลยบ๊ายบายโปรแกรมนี้ และที่จริงควรจะเดินเข้าตำหนักบ้าง แต่เหนื่อยแล้วจริงๆ เลย นั่ง subway กลับเข้าเมือง

ตลาดน้ำซูโจว ถ้ามาฤดูหนาวจะเป็นน้ำแข็ง


สมมติตนเองเป็นข้าราชบริพารในวัง นั่งเรือมังกรตามเสด็จ

ปั่นเรือรอบทะเลสาบคุนหมิง คูลมากๆ 
เรือหินอ่อนของพระนางชูสีไทเฮา




จัตุรัสเทียนอันเหมิน
อารมณ์แบบสนามหลวงบ้านเรา อยู่ตรงข้ามกับพระราชวังต้องห้าม ด้านหน้ามีรูปท่านเหมา เจ๋อ ตุง เป็นจัตุรัสที่เกิดเหตุการณ์สำคัญต่างๆ มากมาย
รอบๆ มีสถานที่สำคัญหลายแห่ง ควรมาเพื่อถ่ายรูปกับท่านเหมา เพื่อให้รู้สึกว่าได้มาปักกิ่งแล้ว
ตอนเช้าและเย็นมีพิธีเชิญธงชาติจีนแต่ไม่มีเวลาแน่นอนเพราะทำกันตามเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและตก

อย่างวันนี้ตอนเย็นๆ ก็มีครอบครัวพาเด็กๆ มาเดินเล่น หรือบางคนน่าจะรอดูพิธีเชิญธงชาติ ส่วนเราขี้เกียจรอเลยกลับโรงแรมหาอะไรกินดีกว่า






Day 2- May 29, 2017

เดินทางตามหาหัวมังกรเฒ่า Old Dragon's Head
รถไฟออกจาก Beijing Railway Staion เวลา 7:13 นาทีเป๊ะๆ
แต่ควรมาถึงก่อนสักครึ่งชม. (กรณีมีตั๋วแล้ว) เพราะกว่าจะผ่านพิธีการตรวจด้านความปลอดภัยและหาชานชาลา (ก่อนเข้าชานชาลาก็ตรวจอีกที) ก็ใช้เวลาไปร่วม 10 นาทีกว่าๆ แล้ว
เราเลือกนั่งรถไฟขบวน D21 ซึ่งขบวน D จะเป็นรถไฟที่มีความเร็วเป็นอันดับสอง ก็ยังใช้เวลาร่วม 2 ชั่วโมงกว่า กว่าจะถึง Shanhaiguan (รถไฟปกติใช้เวลา 6 ชม.)






มาถึงเมือง Shanhaiguan ฝนตกจ้า ตกหนักด้วย ตกหนักจนเกรงว่าจะเที่ยวไม่ได้ สุดท้ายก็ตัดสินใจซื้อร่มกับเสื้อกันฝนเที่ยว

เมือง Shanhaiguan เป็นเมืองที่่ติดริมทะเล เป็นที่ตั้งของกำแพงเมืองจีนหลายด่าน แต่หลายๆ ด่านอยู่ไกลออกไปนอกเมืองต้องนั่งแท็กซี่หรือเหมาไป แต่ก็มีบางด่านที่ใกล้มากๆ และเที่ยวได้ด้วยใช้บริการรถเมล์ อย่างที่เราจะไปคือ ด่าน Lao Long Tou หรือ Old Dragon's Head นั่งรถสาย 25 จากหน้าสถานีรถไฟได้เลย ค่ารถ 1 หยวน


ถ้ามีอินเตอร์เน็ตชีวิตจะดี เพราะจะรู้ว่าต้องลงตรงไหน

ถ้าไม่มี ให้บอกกระเป๋ารถเมล์หรือคนขับว่า เหล่า หลง โถว เขาก็จะจอดให้ นั่งไม่นานราวๆ 10 นาทีก็ถึง
ลงป้าย Old Dragon's Head แล้วเดินต่อไปนิดนึง
ด้านหน้าเป็นพิพิธภัณฑ์ ถ้าไม่เข้าเหมือนเราก็เดินอ้อมไปด้านหลังตรงไปซื้อตั๋วเข้าไปชมหัวมังกรเฒ่ากันเลย



พอซื้อตั๋วเสร็จ ฝนก็ตกกระหน่ำมาไม่หยุดเลยจ้า ด้วยความที่ติดทะเลทำให้ยิ่งมีลมทะเลมาเพิ่มความหนาวอีก ทรมานมาก แต่ในที่สุดแล้วเราก็ได้เห็นหัวมังกรเฒ่าสมใจ Mission Complete 🎆🎆




นอกจากนี้ที่นี่ยังมีเขาวงกตให้ลองเล่น นี่ไม่ได้ลอง แต่ได้มองคนอื่นเล่นก็เพลินๆ ดี
บางคนไปต่อไม่ไหวยอมปีนข้ามกำแพงกลับก็มี
ความยากไม่ได้อยู่ที่สามารถไปถึงตรงกลาง แต่ต้องหาทางออกมาให้ได้ด้วย บางคนไปถึงตรงกลางได้แต่หาทางกลับไม่ได้ เสียเวลาตั้งนาน


จากนั้นเดินกลับมาขึ้นรถเมล์ ป้ายขากลับก็อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับป้ายที่เราลง นั่งรถเมล์สายเดิมเลย

ทีนี้ก่อนถึงสถานีรถไฟจะมีป้ายชื่อ เทียนเซียนอี้ตี้กวน ถ้าไปไม่ถูก บอกคนขับกับกระเป๋ารถเมล์เลยจ้า
ขากลับก็ราคา 1 หยวน

เทียนเซียนอี้ตี้กวน หรือด่านที่หนึ่งในใต้หล้า นอกจากจะเป็นกำแพงเมืองจีนแล้วยังมีหมู่บ้านโบราณ
แต่ว่าฝนตกหนัก (มาก) เราเลยเสียสละโปรแกรมหมู่บ้านโบราณ (ที่ทำใหม่) ไปแล้วเดินเล่นบนกำแพงเมืองอย่างเดียว จากนั้นก็เดินกลับมาที่สถานีรถไฟ รอรถไฟกลับปักกิ่ง ถึงปักกิ่งก็มืดพอดี





Day 03- May 30, 2017

วันนี้เราจะเข้าวัง พระราชวังต้องห้าม Forbidden City นั่นเอง
ข้อควรทราบคือ การจะซื้อตั๋วเข้าวังต้องห้ามต้องใช้พาสปอร์ตในการซื้อด้วย อีกอย่างที่แนะนำคือ Audio Guide ก็ควรเช่าเพื่อเพิ่มอรรถรสในการชม










เราเน้นเดินทะลุจากด้านหน้าตรงเข้าสู่เขตพระราชฐานชั้นในเดินเป็นเส้นตรงออกประตูหลัง  ที่จริงก็ควรจะโฉบไปด้านข้างเพื่อไปดูตำหนักสนมนางในบ้าง แต่เริ่มเมื่อย (อีกแล้ว) เลยเดินทะลุออกด้านหลังเลย แวะกินข้าวสักเล็กน้อยแล้วเดินต่อไปสวนจิงซาน (Jingshan Park) เดินขึ้นเขา ( 1 หอบเล็กๆ) เพื่อไปดูพระราชวังต้องห้ามในมุมสูง


กว้างมากกกกกกกกกกกกกกกก มีตำหนักเล็กตำหนักน้อยมากมาย
จากสวนจิงซานเดินต่อไปยังหอกลองกับหอระฆัง (Bell and Drum Tower)
ที่หอกลองจะมีการแสดงตีกลองแบบโบราณชั่วโมงละครั้ง


แล้วก็เดินทะลุซอกซอยของหู ท่ง ซึ่งก็คือบ้านโบราณของคนจีนและตอนนี้ก็ยังมีคนอาศัยบ้าง บางหลังดัดแปลงเป็นโรงแรม (ซึ่งถ้าได้มาอีกอยากจะลองมาพักในหูท่งนี่บ้าง น่าจะเก๋อยู่ไม่น้อย) ที่กระจุกตัวอยู่แถวหอระฆังและหอกลอง และตรงบริเวณรถไฟใต้ดินสถานี Nanluoguxiang ก็ดัดแปลงเป็นร้านค้ากิ๊บเก๋ออกแนวๆ วัยรุ่น






Day 4 - May 31, 2017

Great Wall of China
กำแพงเมืองจีน


หลังจากไปดูหัวมังกรมาแล้ว เราจะไปดูตัวมังกรด้วย จากปักกิ่งสามารถไปได้หลายด่าน แต่ด่านที่ไปง่ายและฮิตที่สุดคงหนีไม่พ้นด่านปาต้าหลิง (Badaling Great Wall) สามารถเลือกขึ้นรถบัสไปด่านนี้ได้ 2 สายคือ สาย 877 กับ 919 ขึ้นได้ที่ป้อมเต๋อเชิงเหมิน (Deshengmen) จากสถานี Jishuitan  ซึ่ง 2 สายนี้จะลงคนละจุดแต่ใกล้ๆ กัน

จากการกลั่นกรองข้อมูลที่อ่านมาสรุปได้ว่า 
สาย 919 จะลงใกล้กับจุดเคเบิ้ลคาร์
ส่วนสาย 885 จะลงใกล้กับจุดสไลด์คาร์

ระหว่างที่ลังเลว่าจะขึ้นรถสายไหน เราก็เลือกตามคนหมู่มากขึ้น 877 ไปเลย
รถบัสให้ขึ้นตามจำนวนที่นั่ง ลงอีกทีก็ที่ด่านปาต้าหลิงเลย จะจ่ายเงินสดหรือบัตรอี้ข่าถ่งก็ได้ สะดวกดี บนรถมีไกด์ 1 คนและ รปภ. 1 คนแถมมาด้วย หลับๆ ตื่นๆ ปกติวิ่งประมาณ 1.30 ชม (แต่ของเราเจอช่วงซ่อมถนน รถติดเลยใช้เวลาไปสองชั่วโมงครึ่ง)


ระหว่างทางจะผ่านด่านจูหย่งก่วน (Juyongguan) แต่ด่านนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยม แต่ก็ใกล้กว่าด่านปาต้าหลิงครึ่งต่อครึ่ง

พอลงจากรถมันก็จะงงๆ หน่อย แต่อาศัยเดินตามคนไปเรื่อยๆ เขาต่อแถวซื้อตั๋วสไลด์คาร์เราก็ซื้อด้วย แต่เราเลือกนั่งรถขึ้นและเดินลง
ก็เดินตามคนไปจนผ่านสวนหมี
หมีฮ่าว แฮ่! 🐻


แล้วสไลด์คาร์จะค่อยๆ นำท่านขึ้นสู่กำแพงเมืองจีนอย่างช้าๆ


แนะนำว่า ไม่ควรเดินขึ้นและเดินลง เพราะเหนื่อยมาก
นั่งสไลด์คาร์/เคเบิ้ลคาร์แล้วค่อยเดินลงดีกว่า (หรือจะเลือก 2 ขาเลยก็ไม่ว่า)
เพราะแค่นี้ก็เหนื่อยมากแล้ว
ถ้าจะเดินลง ทางลงอยู่ป้อม 11 นะคะ (บอกไว้จะได้มีกำลังใจเดิน) และด่านนี้สุดแค่ป้อม 12 เท่านั้นเอง
แต่นี่เดินมาจากป้อม 4 คร่าาาาาาาาาาา

(ที่จริงมีทางลัดเป็นทางลง จนท. จะอยู่แถวๆ เคเบิ้ลคาร์ ถ้าหาเจอจะใกล้กว่า แต่เราหาไม่เจอไง ฟ๊ากกกกกก)


ตอนเราไปเดิน เราไม่รู้ว่าทางลงอยู่ป้อมไหน เดินไปเรื่อยๆ เหมือนไร้จุดหมาย คิดว่าคงต้องค้างคืนอยู่บนกำแพงเสียแล้วมั้งเรา ชีวิตโครตเศร้า ฮ่าๆ (เศร้าที่ถ้าเดินผิดนี่เราต้องเดินย้อนกลับทางเก่ามั้ย)

จุดที่ใกล้ๆ สไลด์คาร์กับเคเบิ้ลคาร์ก็จะมีความหนาแน่นเป็นพิเศษ

บางจุดความชันแบบทิ้งดิ่งเลยจ้า





กำแพงเมืองจีนสมกับคำว่า Great Wall จริงๆ มันไม่ได้สวยงามนะ แต่การมองเห็นแนวกำแพงไล่ไปตามไหล่เขายาวสุดลูกหูลูกตานี่ก็นับว่าอัศจรรย์มาก ถึงประวัติศาสตร์มันจะเต็มไปด้วยเลือดเนื้อ หยาดเหงื่อคราบน้ำตาและซากศพก็เหอะ แต่ว่าตอนนี้ก็สร้างเม็ดเงินมหาศาลให้กับเมืองจีนละนะ
อยากให้มากัน เพราะมาง่ายมาก ปักกิ่งเที่ยวไม่ยากเลย เขาอำนวยความสะดวกกับนักท่องเที่ยวจริงๆ

ขากลับเดินตามป้ายนั่ง 877 กลับเข้าปักกิ่งเหมือนเดิม ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ที่ด่านปาต้าหลิง (ออกเดินทางประมาณ 9 โมงกลับถึงปักกิ่ง 4 โมงเย็น)

และในคืนสุดท้ายที่ปักกิ่ง เราต้องลอง เป็ดปักกิ่ง 🐔
มีหลายร้านให้ลอง หาเลือกได้จาก Tripadvisor
ส่วนเราเลือกไปที่ร้าน Quanjude ที่ถนน Qianmen
ตอนแรกนึกว่าร้านธรรมดา ที่ไหนได้ ภัตตาคารเลยจ้า


เป็ดเฉยๆ ราคาประมาณ 250 หยวน ถ้าเอาแป้งห่อด้วยก็ 290 หยวน (มี service charge อีก 10% นะ)
มีเมนูภาษาอังกฤษและพนักงานพูดภาษาอังกฤษได้
โต๊ะไหนสั่งเป็ดปักกิ่ง เขาก็จะเข็นเป็ดมาแล่ให้ดูที่โต๊ะเลย






เอาจริงๆ ไม่อวย รสชาติก็โอเคนะมันก็คือเป็ดย่างนั่นแหละ
แต่น้ำจิ้มบ้านเราเด็ดกว่า (อันนี้เป็นซอสหวานอย่างเดียว)
เขาจะแล่หนังกรอบให้ก่อน แล้วค่อยแล่เนื้อให้กิน
มาถึงปักกิ่งแล้วก็กินให้สมกับมาปักกิ่งหน่อย หมดไป 400 หยวนเบาๆ สำหรับเป็ด 1 ตัว ผัดผัก 1 จานและโค้ก 1 ขวด

Day 5- June 1, 2017

ปักกิ่งวันสุดท้าย เครื่องจะออก 5 โมง
ตอนเช้าเราเลยมีเวลาไปหอบูชาฟ้า หรือ หอสักการะฟ้าเทียนถาน (Temple of Heaven) แนะนำให้ซื้อตั๋วเข้าแบบรวมเลย ถ้าซื้อแยกแพง


ความรู้ที่ได้จากปักกิ่งคือ ยิ่งมีสัตว์เยอะๆ บนหลังคา ยิ่งแสดงว่าอาคารหลังนั้นสำคัญ



ใช้เวลาที่นี่จนถึงเที่ยง ก่อนที่จะหาอะไรกินแล้วกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรม
ขากลับนั่ง Airport Express กลับสนามบินปักกิ่ง เงินในบัตรอี้ข่าถ่งขาดอีกนิดหน่อย เลยซื้อตั๋วเที่ยวเดียวเอา
ที่สนามบินหลังจากผ่าน ตม.แล้ว มีร้าน Duty Free พอสมควร ไม่มากแต่ก็พอจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือกลับมาฝากคนที่บ้านได้พอสมควร

กลับแล้วนะปักกิ่ง แล้วเจอกันใหม่

再见! Zai Jian!