วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2560

HOKKAIDO 1st Time


ฮอกไกโดครั้งแรกของเรา รอบนี้ไปคนเดียวเสียด้วย เดินทาง 23-28 กรกฏาคม 2560
รอบนี้บินกับ EVA Air ต่อเครื่องที่ไทเปก่อนจะบินลงสนามบิน New-Chitose บนเกาะฮอกไกโดเลย สนนราคา 18,xxx บาท

จองเดือนมิถุนา บินเดือนกรกฏาคม 2560

ราคานี้ไม่ได้ถูกแต่ก็ไม่แพงสำหรับการบินลงเกาะฮอกไกโดที่จองเดือนนี้แล้วบินเดือนหน้าเลย (ขนาดโปรฯ เจ้านี้ยัง 17,xxx เลยอ่ะ ซึ่งการบินไทย 23,xxx จ้า แต่อันนั้นบินตรง)




สำหรับการนั่งเครื่องบิน EVA Air ถือว่าปกติ ปกติจนแบบอ้าว บริการแค่นี้เองเหรอ นึกว่าจะมีอะไรพิเศษกว่านี้อ่ะ เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นสายการบินเอกชนอันดับ 1 ของไต้หวัน
เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่าสายการบินนี้ไม่ดี เฮ้ย..คือดีนะการบริการ อาหาร อะไรแบบนี้ปกติตามมาตฐานของราคา Economy ที่สมควรจะได้รับ แต่เราดันคาดหวังว่าไหนๆ ก็เป็นสายการบินเอกชนอาจจะมีอะไรพิเศษบ้าง แบบบางกอกแอร์เวย์บ้านเราที่เป็นเอกชนยังโครตจะดีไง เราผิดเองที่คาดหวัง 😡 คราวหน้าอาจจะลองบินกับสายการบินอื่นเอา


ฤดูร้อนที่อยากไปญี่ปุ่น สมควรโดนฮอกไกโดที่สุดแล้ว อากาศกำลังดี แดดร้อนพอประมาณ ไม่อบอ้าว แต่ทั้งนี้คือคุณต้องนิยมชมชอบธรรมชาติ ดอกไม้ สายลม แสงแดด เพราะฮอกไกโดฤดูนี้คนก็ชมดอกไม้กันละนะ

โดยส่วนตัวเราชอบทางคันโตหรือคันไซมากกว่าอยู่นิดหน่อย


ออกจากสุวรรณภูมิตี 2 แวะต่อเครื่องไทเป และมาถึงสนามบิน CTS ตอนบ่าย 3 โมง รอกระเป๋าพอสมควร แต่เราจะยังไม่เข้าเมือง เราหิว เราขอแวะกินราเมนที่ตรอกราเมนในสนามบินก่อน
นี่อุตส่าห์เปิดกูเกิ้ลหาร้านเด็ด ยืนรอคิวตามเน็ตที่บอกพิกัดร้านเจ้าดัง Ebisoba Ichigen


อาจจะไม่ใช่ช่วงเวลามื้ออาหาร เรารอไม่นานแค่ 5-10 นาทีก็ได้คิวแล้ว
แต่รสชาติยังไม่เท่าไหร่ คือมันเป็นราเมนมันกุ้ง น้ำซุปเข้มข้นแต่...สำหรับชาวไทยให้นึกถึงต้มยำกุ้งที่ขาดเผ็ด ขาดเปรี้ยว เป็นต้มยำกุ้งจืดๆ อ่ะ รสแบบนั้นแหละ (เราว่าต้มยำกุ้งราเมนของอิชิบังราเมนเด็ดกว่านะ) มื้อนี้หมดไป 780 เยน เราให้ความเห็นว่าพอกินได้ แต่ร้านอื่นน่าลองกว่า



แล้วไปแช่ออนเซ็น (New-Chitose Airport Onsen) 1500 เยน ใช่จ้า มีออนเซ็นที่สนามบินด้วย ถ้าไม่ติดว่ายังต้องไปโรงแรมอีกแล้วระยะทางกว่าจะเข้าเมืองก็เกือบๆ 1 ชม. ข้าพเจ้าจะแช่จนมันปิด (ที่จริงค้างคืนได้ด้วย แต่หลังจาก 3 ทุ่มไปแล้วไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ล่ะ)

ส่วนเรื่องกระเป๋าไม่ต้องห่วง เขามีที่รับฝากกระเป๋าจ้า แต่ห้ามฝากแล้วออกไปช็อปปิ้ง-อันนี้ไม่ได้
FYI: ออนเซ็นตามสถานที่ท่องเที่ยวชอบติดป้ายว่า "ขณะนี้มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก เพื่อความสะดวกสบายของท่าน กรุณามาใหม่อีกครั้ง"--- ไม่ต้องสนใจค่ะ มันเต็มตลอดแหละ เราก็เดินไปจ่ายตังค์ ใช้บริการตามปกติเลย ความจริงคนก็ไม่ได้เยอะอะไรขนาดนั้น

สำหรับออนเซ็นนี้ มี 5 บ่อ (เป็นกลางแจ้ง 2 บ่อ บ่อน้ำร้อน 2 บ่อ น้ำเย็น 1 บ่อ) สบายในระดับมาตรฐาน
แต่ออนเซ็นอันดับหนึ่งในใจเรายังคงเป็น Spa world ที่โอซาก้า เป็นออนเซ็นที่โครตสนุก



ออกจากบ่อสบายตัวจนเผลอหลับไปบนรถไฟก็มาถึงสถานีซับโปโร (ค่ารถ 1070 เยน)
นั่งตู้ Non-reserved มีรถทุก 15 นาที ไม่ต้องรีบ


พัก Grids Sapporo Hotel& Hostel สถานีSusukino Station ห่างจากสถานีซัปโปโร (JR) 2 สถานี เดินก็ได้เพราะมีทางเชื่อม แต่เชื่อเราเหอะอย่าเดินเลย มันโครตตตตตเมื่อย (เราเดินมาแล้ว 55)



ถ้าคะแนนเต็ม 5 เราให้ 4 ละกัน เดินทางสะดวก เตียงกว้าง มีพื้นที่วางกระเป๋า ฟร้อนท์เปิดถึง 5 ทุ่มแต่โรงแรมไม่มีเคอร์ฟิวเข้า-ออกได้ 24 ชม. ต้องใช้คีย์การ์ดตั้งแต่ใช้ลิฟต์เปิดประตู ถือว่าความปลอดภัยดี
หักคะแนนที่ห้องน้ำมีแค่ชั้นละ 2 ห้อง
โดยรวมคือดี แต่ด้วยความเป็นห้องรวม มันเลยไม่เก็บเสียง ถ้าเพื่อนร่วมห้องเสียงดังอันนี้ก็คือคราวซวยของเราเอง

ตรงสถานี Susukino นี่มันคือ shopping street แห่งหนึ่งเลย มีร้านอาหาร บาร์ ไนท์คลับ เช้าๆ จะเงียบเหงาหน่อย แต่สายๆ จะเริ่มคึกคัก แถวโซนที่อยู่ร้านจะปิดประมาณ 4 ทุ่ม แต่มีดองกี้ที่เปิด 24 ชม. แล้วพวกไนท์คลับก็จะต้องเดินมาอีกโซนนึง แต่ตี 2 งี้ก็ยังไม่เปลี่ยว มีคนผ่านไปมาใช้เส้นทางตลอด (ถามว่าทำไมถึงรู้ เพราะอิชั้นไปช้อปกลับตี 1-2 ทุกวันจ้า)


อันนี้ช่วงเช้า ร้านยังไม่เปิด


ตี 1 ตี 2 แถวนี้ก็ยังคึกคัก

6 วัน 5 คืน ในฮอกไกโด
Day 1 Arrived Sapporo
Day 2 Furano
Day 3 Sapporo City
Day 4 Sapporo-Jozankei Onsen
Day 5 Jozankei Onsen- Sapporo
Day 6 Departed Sapporo

ต้องบอกว่านี่เป็นญี่ปุ่นรอบที่ 5 ของเราแล้วถึงจะเป็นการมาฮอกไกโดครั้งแรกก็เหอะ
ดังนั้นวิธีกิน-เที่ยว-ช็อปปิ้งก็เปลี่ยนไปเยอะเลย ไม่ตะบี้ตะบันเก็บแลนด์มาร์กแล้ว
อารมณ์ตื่นมาแล้ววันนี้อยากไปไหนก็ไป
เที่ยวๆ อยู่วันนี้เหนื่อยแล้วไม่ไปอันนี้ละกัน
หรือ โอ้ย..ร้อน งั้นที่นี่อยู่แป๊บเดียว ไปเดินห้างดีกว่า
คือโครตเกเร ฮ่าๆ
สรุปคือชั้นแค่อยากไปสูดอากาศญี่ปุ่นแค่นั้นแหละ

Furano


ปกติคนอื่นเขาจะพ่วง Furano-Biei เข้าด้วยกัน แต่อินี่ไม่จ้า 😏
ประการแรก - ตื่นสาย นอนไม่พอมาหลายคืนแล้ว มีไข้อ่อนๆ มาหลายวันแล้ว (อ้าง)
ประการที่สอง- ไม่อยากปั่นจักรยานท่ามกลางไอร้อน เดี๋ยวไข้จะกลับ (อ้างอีก)
สรุปแล้วก็แค่ขี้เกียจแหละ ว๊าย..อายจัง

เราซื้อตั๋ว Furano Biei Rail Ticket ราคา 6500 เยนสำหรับเส้นทางนี้
FYI- ข้อควรทราบ  *JR Pass ไม่คลอบคลุมเส้นทางนี้และ IC card ก็ไม่สามารถใช้ได้กับเส้นทางนี้เช่นเดียวกัน


ถ้าไป Biei ด้วยจะคุ้ม ถ้าไม่ไป Biei ซื้อแยกจะถูกกว่า แต่ขี้เกียจคิดมากละ ซื้อๆ ไปเหอะ

นั่งรถจาก Sapporo ไปถึง Naka-Furano ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ไปถึงจะนั่งแท็กซี่หรือเดินไปฟาร์มโทมิตะก็ได้


เราเดิน (ไม่ได้งกจริงๆ นะ) เพราะจะแวะชมสวนลาเวนเดอร์ของเมือง Naka Furano ด้วย
มีกระเช้าขึ้นเขาด้วย (เพราะหน้าร้อนจะเป็นลานสกี) ประมาณ 200 เยน
แต่ไม่ขึ้นจ้า กล้ว เดินขึ้นเอา (ฟรีด้วย)






ชอบที่นี่มากกว่าฟาร์มโทมิตะอีก 
กลิ่นลาเวนเดอร์โครตหอม ตอนไปฟาร์มโทมิตะลาเวนเดอร์ไม่ยักกะหอมแหะ 
ซึ่งความหอมมาพร้อมกับผึ้งตัวโครตยักษ์ ตอนแรกนึกว่าผีเสื้อ ไม่ใช่จ้า ผึ้้งจ้า



ก่อนที่จะเดินไปฟาร์มโทมิตะ แวะกินเมลอนที่ Tomita Melon House เหมือนจะไม่ถูกกับฟาร์มโทมิตะด้านในด้วย

เจอกรุ๊ปคนไทยด้วยจ้า
เขาบอกกินเสร็จให้เอาถาดไปวางคืน ไม่เอาไปคืนจ้า ถาดวางเต็มโต๊ะเลย ต้องให้ป้าญี่ปุ่นไปเก็บ
นักท่องเที่ยวคนอื่นก็ใช้โต๊ะไม่ได้

ไม่ต้องไปว่าชาติไหนเลย ชาติเราเนี่ย เวลาไปเที่ยวยิ่งกรุ๊ปใหญ่ๆ นี่ตัวดีเลย
บอกเลยว่ากรุ๊ปจีนที่ญี่ปุ่นดีกว่ากรุ๊ปไทยอีกจ้า

เมลอน 2 ชิ้น 500 เยน หวานจนถ้ามาขายที่บ้านเรามันจะถูกตราหน้าว่าเอาไปแช่น้ำตาลก่อนเอามาขาย


แล้วก็ไปเดินไปฟาร์มโทมิตะ


สวย ชอบมากกกกกกกกกก
เจอมนุษย์ทุกเชื้อชาติ ยกเว้นชาติญี่ปุ่น 5555






คุ้มค่ากับการเดินทางมาฤดูร้อน เขาบอกว่าช่วงกลาง-ปลาย กรกฏานี่แหละที่กำลังสวย
ก่อนที่จะกลับ เจอรถไฟ Norokko Train เป็นรถไฟท่องเที่ยว เราทันขึ้นทั้ง 2 ขา แต่ไม่ขึ้น (อ้าว-คือมันร้อนกับมันช้าไง ชั้นไม่มีชิลขนาดนั้น) มาถึงซัปโปโรก็ทุ่มนึงแล้ว



Sapporo


สถานที่ชื่นชอบในซัปโปโรคือ ศาลเจ้าฮอกไกโดที่พ่วงสวนป่า และเส้นทางศึกษาธรรมชาติร่วมด้วย



กับตึกที่ทำการรัฐบาลเก่าฮอกไกโด (Hokkaido Perfectural Government Office) เราชอบสวนรอบๆ
ทั้งสองสถานที่นี้คือเย็น สงบดี มาเดินเล่นสบายๆ ได้โครตดี ตึกรัฐบาลเก่าด้านหน้าคนก็จะพลุกพล่านหน่อยแต่สวนรอบๆ สงบมาก มีญีปุ่นมานั่งอ่านหนังสือพอสมควร



ส่วนที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่ได้ไปในเวลา 1 วันกว่าๆ ของเราคือ
Sapporo Clock Tower ข้างในมีนิทรรศการเล็กๆ เฉยๆ ไม่เข้าก็ไม่เป็นไร


Sapporo TV Tower อันนี้ตั้งอยู่ตรงสวนสาธารณะ Odori ช่วงนี้มีเทศกาลเบียร์ คนเยอะดี


Sapporo Maruyama Zoo รู้จักหมีในสวนสัตว์ก่อนสวนสัตว์อีก
แวะทริปเดียวกับศาลเจ้าได้เลยเดินถึงกัน ชอบเส้นทางธรรมชาติระหว่างสวนไปสวนสัตว์

ส่วนสัตว์ตอนแรกก็เฉยๆ ดูเหมือนจะร้างๆ แต่ที่จริงแล้วคนค่อนข้างเยอะ แต่อยู่ในตัวอาคาร สัตว์ได้รับการดูแลค่อนข้างดี แต่วันที่เราไปสงสัยมันอากาศดีจัด จนมันนอนกันหมดเลย Z..Z...z..Z..




Jozankei Onsen


ใกล้ๆ กับเมืองซัปโปโร มีเมืองน้ำพุร้อนที่ดังๆ คือ Noboribetsu ตอนแรกก็จะไปที่นี่แหละ 
แต่ดันไปเจอว่ามีอีกที่คือ Jozankei Onsen ใกล้กับซัปโปโรแค่ 1 ชม. มีรถบัสต่อเดียวถึง เดินทางง่ายโครตและเป็นเมืองเล็กๆ ไม่พลุกพล่าน บางคนนอกจากจะมาแช่ออนเซ็นแล้วยังมาล่ากัปปะด้วยนะ เพราะเมืองนี้มีรูปปั้นกัปปะเต็มไปหมด

แผนที่เมืองและแผนที่กัปปะ

โอเค โจซังเคย์ ชั้นเลือกนาย!

ขึ้นรถที่ Bus station ตรงตึก Esta สถานี Sapporo ได้เลย เราเลือกไปลงน้ำพุร้อนอีกแห่งคือ Hoheikyo Onsen ก่อน ตั๋ว 840 เยน (มีแพ็คเกจ 1500 เยน เป็นราคาตั๋วไป-กลับ พร้อมลงบ่อน้ำร้อนได้ฟรี 1 แห่งด้วยนะ โครตคุ้ม เพราะบ่อน้ำร้อนแต่ละแห่งก็ราคาประมาณ 1000 เยนแล้ว)

นั่งรถหวานเย็นเลยนานหน่อย เราไปลงสุดสายที่บ่อน้ำร้อน Hoheikyo ก่อน
ทั้งคันมีคนลง 3 คน ส่วนใหญ่ ญี่ปุ่นขับรถมากัน


อย่าโอ้เอ้เพราะรถรอบต่อไปจะมาอีก 1 ชม.
จ่ายเงิน 1000 เยนซื้อผ้าขนหนูด้วย 250 เยนแล้วมุ่งหน้าไปบ่อน้ำร้อนเลยจ้า
เป็นบ่อน้ำร้อนแบบโบราณจริงๆ ให้อารมณ์พื้นบ้านมากเลยเธอ มีบ่อกลางแจ้งด้วย ถ้าหน้าหนาวรับรองว่าฟินสุดยอด นี่ฤดูร้อนยังสบายตัว
ที่นี่มีแกงกะหรี่ที่ดัง แต่เราไม่มีเวลากินเพราะจะไปเช็คอินเรียวกังในเมืองโจซังเค รอบหน้าไม่พลาดแน่ๆ

จาก Hoheikyo Onsen ไปตัวเมืองไม่ถีง 5 นาที แต่ถ้าเดินละก็หอบแน่ๆ
เราพักที่ Shogetsu Grand Hotel เป็นการพักแบบเรียวกังครั้งแรกของเรา
โอ๊ย..คุณขา ห้องคืนละ 22,000 เยน การบริการเลยมีระดับขึ้นไปด้วย
พนักงานโค้งแล้วโค้งอีก ดีโครต อยากให้มาลอง


อาหาร 2 มื้อ มื้อเช้าเป็นอาหารชุด แต่มีบุฟเฟต์ให้เติมได้ตลอด ส่วนมื้อเย็นเป็นแบบไคเซกิ อร่อยดี

มื้อเช้าเป็นชุดอาหาร+บุฟเฟ่ต์ฟรีให้ตัก

มื้อเย็นเป็นชุดไคเซกิ

ตั้งแต่บ่ายไปมีน้ำผึ้งให้ลองจนค่ำ (เออ น้ำผึ้งแหละ นี่ก็ยังงง ใครจะกินน้ำผึ้งทั้งวันวะ) ชา กาแฟ ตลอด


นี่มานอนเรียวกังครั้งแรกเลยยังงงๆ เหมือนใช้บริการที่โรงแรมแถมมาให้ไม่คุ้ม
ถ้ารอบหน้ามาอีกนี่จะโปรแล้ว
คือเสียดายว่า
1. ไปแช่ออนเซ็นที่อื่นก่อน เลยใช้บริการที่นี่ได้ไม่กี่ครั้งเอง
2. มาช้าไปหน่อย ปกติเรียวกังจะให้เช็คอินได้บ่าย 3 เช็คเอาท์ 10 โมง นี่เรามาเกือบ 5 โมงแล้ว เดี๋ยวกินข้าวอีก (ซึ่งต้องกินตามเวลาที่กำหนดไว้คือ 6 โมงหรือ 1 ทุ่ม) แล้วเดินเที่ยวเมืองอีก โอ้ย-ใช้เวลาในโรงแรมน้อยไป

สำหรับออนเซ็นที่โรงแรม Shogetsu Grand Hotel มี 2 ห้อง สลับใช้ชายกับหญิง มีเอาท์ดอร์ อินดอร์
ชอบมากกว่าของ Hoheikyo Onsen อีกค่า นี่ถ้าใครซื้อแพ็กเกจ 1500 เยนที่บอกไว้ เราเชียร์ให้มาใช้ที่นี่อ่ะ คุ้มค่า

ช่วงทีเราไปตอนกลางคืนมีการจัดงาน Jozankei Nature Luminarie 2017  by Naked
จัดช่วง 1 ทุ่ม - 3 ทุ่ม เป็นงานเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก แต่ก็สวยดีสำหรับการชมฟรี
คนก็ใส่ชุดยูกาตะ (จากโรงแรมนั่นแหละ) มาดูกัน





ตอนเช้าให้โรงแรมจองรถรอบ 10 โมงไว้ให้ก็เลยเดินรอบๆ เมืองสัก 1 ชม.ก็ทั่วแล้ว ระหว่างทางก็เจอตัวกัปปะเต็มไปหมด เพราะกัปปะเป็นมาสคอตของเมืองนี้


พอกลับมาถึงซัปโปโรเที่ยงพอดี เลยกินข้าวเที่ยงเดินช็อปปิ้ง เข้าร้านนู้นออกร้านนี้ ส่วนใหญ่ไปดูเครื่องเขียน ของกระจุกกระจิกที่โครตสิ้นเปลืองเงินทอง (แต่สุขใจ) ไม่ได้เที่ยวอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ข้ามไปสนามบินเลยก็แล้วกัน

เคาร์เตอร์สายการบินเปิดก่อนเครื่องบินออก 2 ชม. และรถไฟไปสนามบินออกทุก 15 นาที ดังนั้นก็วางแผนกันดีๆ ถ้าไปก่อนเวลาก็เดินช็อปปิ้งด้านนอกก่อนก็ได้ เพราะด้านใน Duty Free มีร้านนิดเดียว

สรุปค่าใช้จ่ายทริปฮอกไกโด

ตั๋วเครื่องบิน EVA Airways 18,xxx บาท
ค่าที่พัก Grids Hostel 3 คืน 15,200 เยน
ค่าที่พัก Shogetsu grand Hotel 1 คืน 22,600 เยน
ค่าเดินทางรอบๆ ซัปโปโร 10,200 เยน
กินแบบธรรมดาๆ 15,000 เยน
*อื่นๆ 137,000 เยน
(* อื่นๆ นี่คือช้อปปิ้งค่ะ ซื้อแหลกลาญตั้งแต่ไม้จิ้มฟันรสมิ้นต์ จนถึงนาฬิกาปลุก)

Have a good day ka.😁


วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2560

It's about BEIJING

ปักกิ่ง



ปีที่แล้วบังเอิญไปเจอรูปกำแพงเมืองจีนที่ยื่นไปบรรจบกับน้ำทะเล ส่วนนั้นคนจีนเรียกว่า Lao Long Tou ส่วนฝรั่งเรียก Old Dragon's Head ส่วนเราเรียกหัวมังกรเฒ่าแห่งกำแพงเมืองจีน

ความรู้สึกนั้นคือ คูลมากๆ ค่ะ ถ้าจะไปจีนทั้งทีแค่กำแพงอย่างเดียวมันยังมีแรงดึงดูดไม่พอ มันต้องไปส่วนหัวด้วย และเหตุผลแค่นี้แหละที่ทำให้อยากไปจีนตงิดๆ แต่ต้องทดในใจไว้ก่อน



ดังนั้นพอสบโอกาส อินี่ก็ยื่นโครงการและจองตั๋วไปปักกิ่งเลยจ้ะ เบ็ดเสร็จ 5 วัน 4 คืน

และจากประสบการณ์ส่วนตัว เมืองจีนที่เขาคนไหนเล่าลือกันนั้น ผิดจากปักกิ่งที่ข้าพเจ้าพบเจอมาเลยจ้า
เพราะสิ่งที่ได้เจอคือ

  • ปักกิ่งสะอาดมากกว่ากรุงเทพ ขยะสักชิ้นแทบไม่เจอ 
  • การคมนาคมที่ปักกิ่งสะดวกสบายกว่ากรุงเทพ
  • ห้องน้ำส่วนใหญ่พัฒนาแล้ว มีแบบจีนและแบบตะวันตก แต่เนื่องจากนักท่องเที่ยวเยอะ มันก็เลยอาจจะมีไม่สะอาดบ้าง มีกลิ่นบ้าง แต่โดยรวมก็ไม่ต่างอะไรจากสถานที่ท่องเที่ยวที่คนเยอะๆ ที่อื่น (แบบห้องน้ำหมอชิตช่วงเทศกาลอ่ะ) และพกทิชชู่เปียก-แห้งติดตัวไว้จะดีมาก
  • คนไม่ได้โหวกเหวกโวยวายอย่างที่คิดเลย (แต่ที่สนามบินขากลับพอพ้นเขต ตม.จีน พี่แกก็แสดงอิทธิฤทธิ์เลยจ้า)

เดินทาง 27 พ.ค - 1 มิ.ย 60

ต่อไปนี้คือการไปเมืองจีนแผ่นดินใหญ่ครั้งแรก ของหญิงไทยเชื้อสายจีน ผู้ที่พูดจีนไม่ได้* ฟังไม่ออกและรู้จักศัพท์เป็นบางคำแค่นั้นเอง
*ปัจฉิมลิขิต ๑ ภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยจะได้เช่นเดียวกัน

Day 00- May 27, 2017

ออกเดินทางจากสุวรรณภูมิด้วยสายการบินการบินไทย รักคุณเท่าฟ้า  
ตั๋วไปปักกิ่งของการบินไทยจะอยู่ที่ราวๆ 12-13,xxx บาท (บิน 4.40 hr)  แต่ถ้าเป็นสายการบินจีนต้องไปต่อเครื่องก็จะราวๆ 7-8000 แต่ใช้เวลาต่างกันครึ่งต่อครึ่ง
แต่เที่ยวนี้ดีเลย์ เลยได้ออกจริงๆ ก็เกือบตี 1 หลับไม่รู้เรื่องตื่นมาอีกทีปักกิ่งเลยจ้า




Day 01- May 28, 2017

มาถึงสนามบินปักกิ่งเราก็จะกังวลหน่อยๆ เพราะยังเกรงๆ กับคำว่าประเทศคอมมิวนิสต์อยู่
แต่พอลองมาเที่ยวก็เห็นว่าเหมือนบ้านเรานี่แหละ การคมนาคมก็ดี ถนนหนทางสะอาดมากกว่ากรุงเทพเสียอีก มีเลนจักรยานต่างหากข้างละเลน แล้วเป็นเลนใหญ่ด้วยนะ Subway เอย รถเมล์รถบัสเอย แสนจะสะดวก

บอกในฐานะนักท่องเที่ยวว่า ปักกิ่งเที่ยวสะดวกมาก


แต่เพื่อนที่ไปอาศัยอยู่ปักกิ่งก็เล่าว่าความเจริญมันก็กระจุกอยู่แค่ที่ปักกิ่งนี่แหละ ถึงอย่างนั้นปักกิ่งก็สร้างความประทับใจให้เราพอสมควรเลย

วิธีเดินทางจากสนามบินเข้าตัวเมืองปักกิ่งมี 2 วิธีคือนั่ง AE (Airport Express) ไปต่อ Subway หรือนั่งรถบัสไปตามจุดจอดต่างๆ แต่ก่อนอื่นขอแนะนำให้ซื้อบัตร อี้ข่าถ่ง หรือบัตร IC Card บัตรสารพัดประโยชน์ที่จะทำให้การขึ้นลงรถเมล์หรือซับเวย์ของเราง่ายขึ้น ซื้อและคืนบัตรได้ที่เคาเตอร์ AE ที่สนามบินเลยสะดวกมาก บัตรอี้ข่าถงราคา 100 หยวน (เป็นมัดจำ 20 หยวน) 5 วันในปักกิ่งเราใช้พอดีไม่ต้องเติมเงินเพิ่ม ถือว่าค่าเดินทางในปักกิ่งไม่แพงเลย

พอได้บัตรอี้ข่าถ่ง เราเลือกเข้าเมืองโดยนั่งรถบัสไปลงที่ Beijing Railway Station เพราะเราต้องไปแลกตั๋วรถไฟก่อนและโรงแรมก็อยู่ใกล้ๆ กับที่นี่พอดี




ไปถึง Beijing Railway Station นี่ก็ต้องตะลึงกับจำนวนคนมากมายมหาศาล แล้วก็ไปแลกตั๋วด้านใน Ticket Office เนื่องจากเราจองตั๋วจากเวป Ctrip เอาไว้แล้ว ไปถึงก็แค่ยื่นหมายเลขการจองกับพาสปอร์ตเป็นอันเสร็จสิ้น แต่ระหว่างนั้นก็มีพี่จีนคอยเนียนๆ เข้ามาแซงคิวตลอด

* สำหรับคนที่จะเดินทางในจีนและใช้บริการรถไฟเราแนะนำว่าจองตั๋วจากเอเจนซี่ไปก่อนจะดีกว่า ตัดปัญหาเรื่องตั๋วเต็ม การสื่อสาร และป้องกันการจองผิดสถานี แต่ทั้งนี้ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาพอสมควร


ได้ตั๋วแล้ว เราก็ไปโรงแรม
พักที่ Pentahotel Beijing ด้วยเหตุผลว่าติดกับรถไฟใต้ดิน
ราคาคืนละ 3,300 บาท รวมภาษีและอาหารเช้า ชอบที่นี่มาก
สะอาด ห้องกว้างขวาง พนักงานดี ที่สำคัญอาหารเช้าอร่อย หลากหลาย เลิฟที่นี่ค่ะ 💛💛



มื้อเที่ยง กินใต้โรงแรม ที่นี่มีก๋วยเตี๋ยวขายช่วงบ่ายกับเย็นๆ จนถึงค่ำ
เมนูที่สั่งคือก๋วยเตี๋ยวเนื้อ (อร่อย ชามโครตใหญ่) และ ก๋วยเตี๋ยวปักกิ่ง ใช่ค่ะ..
นอกจากเป็ดปักกิ่งแล้วที่นี่ยังมีก๋วยเตี๋ยวปักกิ่งด้วย! รสชาติประหลาดๆ บอกไม่ถูก แต่กินได้เหมือนใส่เต้าเจี้ยวหรือเต้าหู้ยี้ (หรือเต้าหู้เหม็น) เออมันก็แปลกๆ ดี (แต่ถ้าให้สั่งอีกคงไม่เอาอ่ะ ก๋วยเตี๋ยวเนื้ออร่อยกว่า)


ตอนบ่ายไป Summer Palace พระราชวังฤดูร้อน จะซื้อตั๋วเหมา คุณน้าคนขายไม่ขายให้ ทำนองว่าแกเข้าไม่หมดหรอก (เราไปถึงตอนบ่าย2) ซึ่งก็จริง เราเหนื่อยจากการเดินทางมาพอสมควรแล้วเลยแค่เดินชมริมทะเลสาบเท่านั้นเอง
ตอนบ่ายอากาศก็ร้อนมากสมเป็นพระราชวังฤดูร้อน แล้วก็ไกลมาก (45 นาทีในรถไฟใต้ดิน)

กิจกรรมยอดฮิตและอยากให้ลองคือ ปั่นเรือ เราไม่ได้ปั่นเพราะเรือเล็กต้องรอคิวอีกนาน เลยบ๊ายบายโปรแกรมนี้ และที่จริงควรจะเดินเข้าตำหนักบ้าง แต่เหนื่อยแล้วจริงๆ เลย นั่ง subway กลับเข้าเมือง

ตลาดน้ำซูโจว ถ้ามาฤดูหนาวจะเป็นน้ำแข็ง


สมมติตนเองเป็นข้าราชบริพารในวัง นั่งเรือมังกรตามเสด็จ

ปั่นเรือรอบทะเลสาบคุนหมิง คูลมากๆ 
เรือหินอ่อนของพระนางชูสีไทเฮา




จัตุรัสเทียนอันเหมิน
อารมณ์แบบสนามหลวงบ้านเรา อยู่ตรงข้ามกับพระราชวังต้องห้าม ด้านหน้ามีรูปท่านเหมา เจ๋อ ตุง เป็นจัตุรัสที่เกิดเหตุการณ์สำคัญต่างๆ มากมาย
รอบๆ มีสถานที่สำคัญหลายแห่ง ควรมาเพื่อถ่ายรูปกับท่านเหมา เพื่อให้รู้สึกว่าได้มาปักกิ่งแล้ว
ตอนเช้าและเย็นมีพิธีเชิญธงชาติจีนแต่ไม่มีเวลาแน่นอนเพราะทำกันตามเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและตก

อย่างวันนี้ตอนเย็นๆ ก็มีครอบครัวพาเด็กๆ มาเดินเล่น หรือบางคนน่าจะรอดูพิธีเชิญธงชาติ ส่วนเราขี้เกียจรอเลยกลับโรงแรมหาอะไรกินดีกว่า






Day 2- May 29, 2017

เดินทางตามหาหัวมังกรเฒ่า Old Dragon's Head
รถไฟออกจาก Beijing Railway Staion เวลา 7:13 นาทีเป๊ะๆ
แต่ควรมาถึงก่อนสักครึ่งชม. (กรณีมีตั๋วแล้ว) เพราะกว่าจะผ่านพิธีการตรวจด้านความปลอดภัยและหาชานชาลา (ก่อนเข้าชานชาลาก็ตรวจอีกที) ก็ใช้เวลาไปร่วม 10 นาทีกว่าๆ แล้ว
เราเลือกนั่งรถไฟขบวน D21 ซึ่งขบวน D จะเป็นรถไฟที่มีความเร็วเป็นอันดับสอง ก็ยังใช้เวลาร่วม 2 ชั่วโมงกว่า กว่าจะถึง Shanhaiguan (รถไฟปกติใช้เวลา 6 ชม.)






มาถึงเมือง Shanhaiguan ฝนตกจ้า ตกหนักด้วย ตกหนักจนเกรงว่าจะเที่ยวไม่ได้ สุดท้ายก็ตัดสินใจซื้อร่มกับเสื้อกันฝนเที่ยว

เมือง Shanhaiguan เป็นเมืองที่่ติดริมทะเล เป็นที่ตั้งของกำแพงเมืองจีนหลายด่าน แต่หลายๆ ด่านอยู่ไกลออกไปนอกเมืองต้องนั่งแท็กซี่หรือเหมาไป แต่ก็มีบางด่านที่ใกล้มากๆ และเที่ยวได้ด้วยใช้บริการรถเมล์ อย่างที่เราจะไปคือ ด่าน Lao Long Tou หรือ Old Dragon's Head นั่งรถสาย 25 จากหน้าสถานีรถไฟได้เลย ค่ารถ 1 หยวน


ถ้ามีอินเตอร์เน็ตชีวิตจะดี เพราะจะรู้ว่าต้องลงตรงไหน

ถ้าไม่มี ให้บอกกระเป๋ารถเมล์หรือคนขับว่า เหล่า หลง โถว เขาก็จะจอดให้ นั่งไม่นานราวๆ 10 นาทีก็ถึง
ลงป้าย Old Dragon's Head แล้วเดินต่อไปนิดนึง
ด้านหน้าเป็นพิพิธภัณฑ์ ถ้าไม่เข้าเหมือนเราก็เดินอ้อมไปด้านหลังตรงไปซื้อตั๋วเข้าไปชมหัวมังกรเฒ่ากันเลย



พอซื้อตั๋วเสร็จ ฝนก็ตกกระหน่ำมาไม่หยุดเลยจ้า ด้วยความที่ติดทะเลทำให้ยิ่งมีลมทะเลมาเพิ่มความหนาวอีก ทรมานมาก แต่ในที่สุดแล้วเราก็ได้เห็นหัวมังกรเฒ่าสมใจ Mission Complete 🎆🎆




นอกจากนี้ที่นี่ยังมีเขาวงกตให้ลองเล่น นี่ไม่ได้ลอง แต่ได้มองคนอื่นเล่นก็เพลินๆ ดี
บางคนไปต่อไม่ไหวยอมปีนข้ามกำแพงกลับก็มี
ความยากไม่ได้อยู่ที่สามารถไปถึงตรงกลาง แต่ต้องหาทางออกมาให้ได้ด้วย บางคนไปถึงตรงกลางได้แต่หาทางกลับไม่ได้ เสียเวลาตั้งนาน


จากนั้นเดินกลับมาขึ้นรถเมล์ ป้ายขากลับก็อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับป้ายที่เราลง นั่งรถเมล์สายเดิมเลย

ทีนี้ก่อนถึงสถานีรถไฟจะมีป้ายชื่อ เทียนเซียนอี้ตี้กวน ถ้าไปไม่ถูก บอกคนขับกับกระเป๋ารถเมล์เลยจ้า
ขากลับก็ราคา 1 หยวน

เทียนเซียนอี้ตี้กวน หรือด่านที่หนึ่งในใต้หล้า นอกจากจะเป็นกำแพงเมืองจีนแล้วยังมีหมู่บ้านโบราณ
แต่ว่าฝนตกหนัก (มาก) เราเลยเสียสละโปรแกรมหมู่บ้านโบราณ (ที่ทำใหม่) ไปแล้วเดินเล่นบนกำแพงเมืองอย่างเดียว จากนั้นก็เดินกลับมาที่สถานีรถไฟ รอรถไฟกลับปักกิ่ง ถึงปักกิ่งก็มืดพอดี





Day 03- May 30, 2017

วันนี้เราจะเข้าวัง พระราชวังต้องห้าม Forbidden City นั่นเอง
ข้อควรทราบคือ การจะซื้อตั๋วเข้าวังต้องห้ามต้องใช้พาสปอร์ตในการซื้อด้วย อีกอย่างที่แนะนำคือ Audio Guide ก็ควรเช่าเพื่อเพิ่มอรรถรสในการชม










เราเน้นเดินทะลุจากด้านหน้าตรงเข้าสู่เขตพระราชฐานชั้นในเดินเป็นเส้นตรงออกประตูหลัง  ที่จริงก็ควรจะโฉบไปด้านข้างเพื่อไปดูตำหนักสนมนางในบ้าง แต่เริ่มเมื่อย (อีกแล้ว) เลยเดินทะลุออกด้านหลังเลย แวะกินข้าวสักเล็กน้อยแล้วเดินต่อไปสวนจิงซาน (Jingshan Park) เดินขึ้นเขา ( 1 หอบเล็กๆ) เพื่อไปดูพระราชวังต้องห้ามในมุมสูง


กว้างมากกกกกกกกกกกกกกกก มีตำหนักเล็กตำหนักน้อยมากมาย
จากสวนจิงซานเดินต่อไปยังหอกลองกับหอระฆัง (Bell and Drum Tower)
ที่หอกลองจะมีการแสดงตีกลองแบบโบราณชั่วโมงละครั้ง


แล้วก็เดินทะลุซอกซอยของหู ท่ง ซึ่งก็คือบ้านโบราณของคนจีนและตอนนี้ก็ยังมีคนอาศัยบ้าง บางหลังดัดแปลงเป็นโรงแรม (ซึ่งถ้าได้มาอีกอยากจะลองมาพักในหูท่งนี่บ้าง น่าจะเก๋อยู่ไม่น้อย) ที่กระจุกตัวอยู่แถวหอระฆังและหอกลอง และตรงบริเวณรถไฟใต้ดินสถานี Nanluoguxiang ก็ดัดแปลงเป็นร้านค้ากิ๊บเก๋ออกแนวๆ วัยรุ่น






Day 4 - May 31, 2017

Great Wall of China
กำแพงเมืองจีน


หลังจากไปดูหัวมังกรมาแล้ว เราจะไปดูตัวมังกรด้วย จากปักกิ่งสามารถไปได้หลายด่าน แต่ด่านที่ไปง่ายและฮิตที่สุดคงหนีไม่พ้นด่านปาต้าหลิง (Badaling Great Wall) สามารถเลือกขึ้นรถบัสไปด่านนี้ได้ 2 สายคือ สาย 877 กับ 919 ขึ้นได้ที่ป้อมเต๋อเชิงเหมิน (Deshengmen) จากสถานี Jishuitan  ซึ่ง 2 สายนี้จะลงคนละจุดแต่ใกล้ๆ กัน

จากการกลั่นกรองข้อมูลที่อ่านมาสรุปได้ว่า 
สาย 919 จะลงใกล้กับจุดเคเบิ้ลคาร์
ส่วนสาย 885 จะลงใกล้กับจุดสไลด์คาร์

ระหว่างที่ลังเลว่าจะขึ้นรถสายไหน เราก็เลือกตามคนหมู่มากขึ้น 877 ไปเลย
รถบัสให้ขึ้นตามจำนวนที่นั่ง ลงอีกทีก็ที่ด่านปาต้าหลิงเลย จะจ่ายเงินสดหรือบัตรอี้ข่าถ่งก็ได้ สะดวกดี บนรถมีไกด์ 1 คนและ รปภ. 1 คนแถมมาด้วย หลับๆ ตื่นๆ ปกติวิ่งประมาณ 1.30 ชม (แต่ของเราเจอช่วงซ่อมถนน รถติดเลยใช้เวลาไปสองชั่วโมงครึ่ง)


ระหว่างทางจะผ่านด่านจูหย่งก่วน (Juyongguan) แต่ด่านนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยม แต่ก็ใกล้กว่าด่านปาต้าหลิงครึ่งต่อครึ่ง

พอลงจากรถมันก็จะงงๆ หน่อย แต่อาศัยเดินตามคนไปเรื่อยๆ เขาต่อแถวซื้อตั๋วสไลด์คาร์เราก็ซื้อด้วย แต่เราเลือกนั่งรถขึ้นและเดินลง
ก็เดินตามคนไปจนผ่านสวนหมี
หมีฮ่าว แฮ่! 🐻


แล้วสไลด์คาร์จะค่อยๆ นำท่านขึ้นสู่กำแพงเมืองจีนอย่างช้าๆ


แนะนำว่า ไม่ควรเดินขึ้นและเดินลง เพราะเหนื่อยมาก
นั่งสไลด์คาร์/เคเบิ้ลคาร์แล้วค่อยเดินลงดีกว่า (หรือจะเลือก 2 ขาเลยก็ไม่ว่า)
เพราะแค่นี้ก็เหนื่อยมากแล้ว
ถ้าจะเดินลง ทางลงอยู่ป้อม 11 นะคะ (บอกไว้จะได้มีกำลังใจเดิน) และด่านนี้สุดแค่ป้อม 12 เท่านั้นเอง
แต่นี่เดินมาจากป้อม 4 คร่าาาาาาาาาาา

(ที่จริงมีทางลัดเป็นทางลง จนท. จะอยู่แถวๆ เคเบิ้ลคาร์ ถ้าหาเจอจะใกล้กว่า แต่เราหาไม่เจอไง ฟ๊ากกกกกก)


ตอนเราไปเดิน เราไม่รู้ว่าทางลงอยู่ป้อมไหน เดินไปเรื่อยๆ เหมือนไร้จุดหมาย คิดว่าคงต้องค้างคืนอยู่บนกำแพงเสียแล้วมั้งเรา ชีวิตโครตเศร้า ฮ่าๆ (เศร้าที่ถ้าเดินผิดนี่เราต้องเดินย้อนกลับทางเก่ามั้ย)

จุดที่ใกล้ๆ สไลด์คาร์กับเคเบิ้ลคาร์ก็จะมีความหนาแน่นเป็นพิเศษ

บางจุดความชันแบบทิ้งดิ่งเลยจ้า





กำแพงเมืองจีนสมกับคำว่า Great Wall จริงๆ มันไม่ได้สวยงามนะ แต่การมองเห็นแนวกำแพงไล่ไปตามไหล่เขายาวสุดลูกหูลูกตานี่ก็นับว่าอัศจรรย์มาก ถึงประวัติศาสตร์มันจะเต็มไปด้วยเลือดเนื้อ หยาดเหงื่อคราบน้ำตาและซากศพก็เหอะ แต่ว่าตอนนี้ก็สร้างเม็ดเงินมหาศาลให้กับเมืองจีนละนะ
อยากให้มากัน เพราะมาง่ายมาก ปักกิ่งเที่ยวไม่ยากเลย เขาอำนวยความสะดวกกับนักท่องเที่ยวจริงๆ

ขากลับเดินตามป้ายนั่ง 877 กลับเข้าปักกิ่งเหมือนเดิม ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ที่ด่านปาต้าหลิง (ออกเดินทางประมาณ 9 โมงกลับถึงปักกิ่ง 4 โมงเย็น)

และในคืนสุดท้ายที่ปักกิ่ง เราต้องลอง เป็ดปักกิ่ง 🐔
มีหลายร้านให้ลอง หาเลือกได้จาก Tripadvisor
ส่วนเราเลือกไปที่ร้าน Quanjude ที่ถนน Qianmen
ตอนแรกนึกว่าร้านธรรมดา ที่ไหนได้ ภัตตาคารเลยจ้า


เป็ดเฉยๆ ราคาประมาณ 250 หยวน ถ้าเอาแป้งห่อด้วยก็ 290 หยวน (มี service charge อีก 10% นะ)
มีเมนูภาษาอังกฤษและพนักงานพูดภาษาอังกฤษได้
โต๊ะไหนสั่งเป็ดปักกิ่ง เขาก็จะเข็นเป็ดมาแล่ให้ดูที่โต๊ะเลย






เอาจริงๆ ไม่อวย รสชาติก็โอเคนะมันก็คือเป็ดย่างนั่นแหละ
แต่น้ำจิ้มบ้านเราเด็ดกว่า (อันนี้เป็นซอสหวานอย่างเดียว)
เขาจะแล่หนังกรอบให้ก่อน แล้วค่อยแล่เนื้อให้กิน
มาถึงปักกิ่งแล้วก็กินให้สมกับมาปักกิ่งหน่อย หมดไป 400 หยวนเบาๆ สำหรับเป็ด 1 ตัว ผัดผัก 1 จานและโค้ก 1 ขวด

Day 5- June 1, 2017

ปักกิ่งวันสุดท้าย เครื่องจะออก 5 โมง
ตอนเช้าเราเลยมีเวลาไปหอบูชาฟ้า หรือ หอสักการะฟ้าเทียนถาน (Temple of Heaven) แนะนำให้ซื้อตั๋วเข้าแบบรวมเลย ถ้าซื้อแยกแพง


ความรู้ที่ได้จากปักกิ่งคือ ยิ่งมีสัตว์เยอะๆ บนหลังคา ยิ่งแสดงว่าอาคารหลังนั้นสำคัญ



ใช้เวลาที่นี่จนถึงเที่ยง ก่อนที่จะหาอะไรกินแล้วกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรม
ขากลับนั่ง Airport Express กลับสนามบินปักกิ่ง เงินในบัตรอี้ข่าถ่งขาดอีกนิดหน่อย เลยซื้อตั๋วเที่ยวเดียวเอา
ที่สนามบินหลังจากผ่าน ตม.แล้ว มีร้าน Duty Free พอสมควร ไม่มากแต่ก็พอจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือกลับมาฝากคนที่บ้านได้พอสมควร

กลับแล้วนะปักกิ่ง แล้วเจอกันใหม่

再见! Zai Jian!