วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2559

I o Tokyo ii

2016.08.14

คืนแรกที่มาถึงโตเกียวนอน ตี 2 
พอมาคืนที่ 2 ก็นอนตี 2 เช่นเดียวกัน
ดังนั้นกว่าจะตื่นก็ 8 โมงเช้าจ้ะ ฮาโล่วววว

ที่จริงมีแผนว่าจะออกไปนอกโตเกียวไปแวะโฉบดูคุณฟูจิซัง แต่พยากรณ์อากาศบอกว่านอกโตเกียวฝนตกทั้งหมด ถ้าออกไปก็คงไม่เจออะไรนอกจากฝน ก็เลยกำหนดเอาเองแต่ผู้เดียวว่า พวกแกจงอยู่แต่ในโตเกียวเพิ่มอีกวันเถอะวันนี้

แถวๆ โรงแรมมีศาลเจ้าชื่อ Hie Shrine สนใจที่นี่ตั้งแต่ค้นดูในกูเกิ้ล 
เพราะว่าอินี่เป็นโรคพ่ายแพ้ต่อเสาโทริอิสีแดง เห็นแล้วสวยดี มีความอยากถ่ายรูปด้วย
เลยกึ่งๆ หลอก กึ่งๆ ชวน ให้เพื่อนตามมา

ที่นี่มีความสงบเงียบดี และเสียงจักจั่นร้องดังเต็มไปหมด
คือไม่เคยรู้มาก่อนว่าเสียงจักจั่นเวลารวมตัวกันมันจะร้องระงม ดังระดับ 8-9-10 ขนาดนี้







ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jiingu)
สถานีฮาราจูกุ


แลนด์มาร์กอีกแห่งที่ต้องเก็บให้ครบ ไม่มาก็เหมือนทำมิสชั่นโตเกียวไม่สมบูรณ์

นอกจากนั้น ที่นี่ยังเป็นจุด Power Spot 1 ใน 7 ของภูมิภาคคันโต
เฮ้ย.. นี่เขียนเองนี่ก็เพิ่งรู้

เขาบอกให้ไปในวันที่แจ่มใส อากาศดี จะพาวเวอร์อัพพลังให้ตัวเอง
แต่ถ้าไปตอนเย็นหรือวันฝนตก พลังจะดาวน์ลง
โอ้.. นี่คนหรือชาวไซย่า





พอพาวเวอร์อัพแล้วท้องก็หิวค่ะ
ดังนั้นรายการต่อไปต้องนี่เลย ซูชิ!

นั่งรถไฟไปชิบูย่า ที่จริงก็เดินได้แต่นี่ไม่เดินกันไง เพราะไหนๆ ก็ใช้บัตรเหมาฟรีอยู่แล้ว
แล้วถ้าเดินเล่นในระดับที่ความหิวเกือบแม็กซ์แบบนี้ มีแต่จะยิ่งหงุดหงิด
นั่งรถไฟไปสิคะ รออะไร

นี่เดินไปเจอร้านซูชิยืนกิน UOGASHI NIHON-ICHI ก่อน
คนไม่เยอะและราคาไม่แพง
ราคาที่แพงที่สุดคือ 648 เยน เสริฟมาทีละ 2 คำ
สั่งก็ไม่ยาก เพราะมีเมนูภาษาอังกฤษให้

ซูชิเสริฟบนใบ้ไม้ ใช่แล้ว ! ใบไม้








ช่วงบ่าย เดินเล่นช๊อปปิ้งอยู่ย่านชิบุย่านี่แหละ
ที่มาญี่ปุ่นครั้งนี้ตั้งใจมาหาซื้อ nanoblock นี่ก็เดินหาเข้าห้างนู้น ออกห้างนี้ ไม่มีเลยจ้า
สุดท้ายมาได้ที่ห้าง BIC CAMERA หน้าโรงแรมกับร้าน Yamashiroya หน้าสถานี UENO

คาเฟ่แมว MoCHA
ชิบุย่า


นี่ไม่เรียกว่าคาเฟ่ดีกว่านะ เพราะมันไม่มีเครื่องดื่มอะไรนอกจากตู้กด
แต่มีแมวหลายตัวดี
แต่นี่ไม่ชอบแฮะ ดูแมวไม่ค่อยมีความสุข เหมือนมันไม่อยากเล่นกับคนอ่ะ แต่ก็ต้องทนๆ อยู่กับเจ้ามนุษย์ไป
ที่นี่ค่าเข้าคือ 200 เยน ต่อ 10 นาที
นี่เข้าไปแป๊บๆ ไม่ทันไรก็ครบ 10 นาทีก็พากันออกมาล่ะ




โอไดบะออนเซ็น โมโนกาตาริ (Tokyo Odaiba Oedo Onsen Monogagatari)
ย่านโอไดบะ
นัดเจอกับเพื่อนที่สถานี Shimbashi เพื่อจะไปแช่ออนเซ็นที่โอไดบะ


มีนี่คนเดียวที่เคยแช่ออนเซ็น
ส่วนเพื่อนอีก 2 คนยังไม่เคย
นางสาว A อยากแช่ ส่วนนางสาว B ยังมีความกล้าๆ กลัวๆ
นี่เลยบอกว่า ถ้ายังไม่อยากแช่ตัว มันมีโซนแช่เท้าไว้บริการด้วยนะ ก็ไปแช่เท้าก่อนเฉยๆ ก็ได้

ออนเซ็นที่โอไดบะเป็นออนเซ็นแท้ๆ นั่นคือสูบน้ำแร่มาจากใต้ดินให้เราแช่ได้เลย
มีธีมเป็นยุคเอโดะ มีร้านอาหาร สปา ร้านค้าให้เล่นเกมด้วย (แน่นอนว่าทุกอย่างต้องเสียเงิน)
แต่มีชุดยูกาตะให้เปลี่ยนฟรี





สุดท้ายก็ลงบ่อทั้ง 3 คน สบายตัวกันไปเลยจ้ะ


วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

I o Tokyo i




นี่ควรจะเขียนอะไรเกี่ยวกับโตเกียวดี เป็นเมืองที่ถูกเขียนอย่างเจาะพรุนแล้วทุกอย่าง
แทบทุกเดือนต้องมีคนรู้จัก หรือไม่ก็คนรู้จักของคนรู้จักไปญี่ปุ่น
โดยเฉพาะ โตเกียว โอซาก้า น่าจะโดนคนไทยเจาะพรุนไปแล้วทุกที่

จองตั๋วไปโตเกียวช่วงหน้าร้อน เดินทาง 12-16 สิงหาคม 2559
มีคนบอกว่าญี่ปุ่นช่วงหน้าร้อน ร้อนมาก ร้อนยิ่งกว่าบ้านเราอีก
มีความร้อนอับชื้น เหงื่อไม่ออก อบอ้าว บลาๆ

พอไปจริง ก็เออ ร้อนนะ แต่ไหวอยู่ ไม่ได้อบอ้าวขนาดนั้น

แต่หลังจากวันที่ 16 สิงหา พายุเข้า 2 ลูกติดๆ กันเลยอ่ะ รถไฟ เที่ยวบินดีเลย์บ้าง หยุดบ้าง
คนที่มาเที่ยวหลังจากเราก็ซวยไปนะค้า

บินกับแอร์เอเชียได้ตั๋ว 8285.- บาท พร้อมน้ำหนักกระเป๋า 20 กก. และ 25 กก.
ถือว่าเป็นราคากลางๆ ที่รับได้สำหรับบินตรงและโลว์คอสอย่างแอร์เอเชีย
แต่อย่าลืมว่าบินตั้ง 6 ชั่วโมงและเบาะเครื่องบินเจ้านี้ปรับเอนได้นิดเดียว
การเพิ่มเงินเพื่อนั่งบิสสิเนสคลาสหรือจ่ายเพิ่มอีกไม่กี่พันเพื่อบินกับพวกฟลูเซอร์วิส แต่อาจต้องยอมเสียเวลาเปลี่ยนเครื่องนิดนึงก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ



เที่ยวบินขาออกของแอร์เอเชีย x ลงโตเกียวคือ 10 โมงเช้า ไปถึงนู่น 1 ทุ่มโดยประมาณ ก็เสียเวลาเที่ยวไป 1 วันเต็มๆ แต่ขากลับเครื่องออก 2 ทุ่มก็ถือว่ามีเวลาเที่ยวได้ถึงราวๆ 4 โมงเย็นของวันกลับ

ลงสนามบินนาริตะ พอถึงสนามบินซื้อตั๋ว Keisei Skyliner แบบไป-กลับก่อนเลย
เป็นการวางแผนว่าอย่างน้อยข้าก็มีตั๋วกลับสนามบินแล้วละนะ ดังนั้นจงใช้เงินได้ที่แลกมาได้อย่างเต็มที่

ช่วงนี้มีโปรโมชั่นคือซื้อตั๋ว Skyliner และบัตร Tokyo Subway ได้ในราคาพิเศษ (พิเศษแบบได้แถมบัตรเหมา Tokyo subway มาฟรีๆ นั่นแหละ)

2016.08.12 วันแม่แห่งชาติ แต่นี่มาแรดๆ อยู่โตเกียว
ลงเครื่อง 1 ทุ่มกว่าๆ กว่าจะเอากระเป๋า ซื้อตั๋วรถไฟ ก็มาถึงสถานี UENO ตอนราวๆ 2 ทุ่มครึ่ง
กินข้าวเอ้อระเหยกันก็ 3 ทุ่มครึ่งแล้ว

รอบนี้ไปเที่ยวกัน 3 คนแต่พักกัน 2 ที่ อีกคนแยกไปพักต่างหากแถวๆ อาซากุสะ
ไปส่งเพื่อนอีกคนก่อนแล้วค่อยมาสถานี  AKASAKA- MITSUKE
โรงแรมที่เราพักรอบนี้คือ APA VILLA HOTEL
ราคาสำหรับ 4 คืน คือ 38,500 เยน

ก่อนมาถึงโตเกียว โรงแรมเมล์มาหาบอกว่าจะเก็บห้องไว้ถึงแค่ 4 ทุ่มนะ นี่ก็ตอบกลับไปว่าคงถึงราวๆ นั้นแหละ ปรากฏว่าถึง 5 ทุ่มจ้า แต่โรงแรมก็ยังเก็บห้องไว้ให้อยู่

ความประทับใจแรกของโรงแรมนี้คือฟร้อนท์เป็นคุณลุงผู้ใจดีและชายหนุ่มหล่อหน้าตาดี  /ผิด
ฮ่าๆ ที่จริงคือใกล้สถานีรถไฟดีและอยู่สายเดียวกับสถานี UENO ที่ต้องต่อไปสนามบิน

หวยออกที่ห้อง 1019

ห้องพักมีความกะทัดรัดตามสไตล์ห้องพักในญี่ปุ่นเลย 
พอวางเตียงไปแล้วทางเดินในห้องก็แคบมาก กระเป๋าใช้เสร็จก็ต้องพักเก็บก่อนจะมาวางแผ่หลากินพื้นที่ไม่ได้เลย
เตียงก็เล็กไปหน่อย เตียงขนาดนี้เมืองไทยนอนคนเดียวนะจ้ะ คนตัวโตๆ 2 คนคงอัดกันไม่ไหว แต่เราเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ 2 คนไง เลยโอเค
พวกสิ่งของอำนวยความสะดวกในห้องน้ำมีพร้อมสรรพ โดยเฉพาะอ่างอาบน้ำ ที่ญี่ปุ่นนี่ถึงห้องพักจะแคบยังไงก็ต้องมีอ่างอาบน้ำนะฮะ ชอบตรงนี้
ชุดนอนก็มีให้พร้อม ดีจัง คราวหน้าจะได้ไม่ต้องพกชุดนอนมาด้วยเพิ่มเนื้อที่กระเป๋าได้อีกนิดนึง

แถวๆ ที่พักนี่ร้านอาหาร คลับ บาร์เพียบเลย
ที่แน่กว่าคือมีบาร์โฮสจ้า โฮสผู้ชายด้วยมีร้านแบบพี่กล้ามปูก็มี ร้านแบบชายหนุ่มสะอาดสะอ้าน ใส่สูทผูกเนคไทก็มี
คือโซนนี้นี่มันแหล่งเที่ยวหลังเลิกงานชัดๆ แต่กว่าเราจะกลับก็ 4-5 ทุ่มทุกวัน เลยไม่ได้แวะเข้าร้านไหนเลย อืม

2016.08.13
วันเที่ยววันแรก
จงเที่ยวอย่างทัวริส นั่นคือไปคว้าแลนด์มาร์กสำคัญๆ ของโตเกียวด้วยบัตร Tokyo Subway 72 ชม.

ถ้าเที่ยวเฉพาะในโตเกียวตั๋ว Tokyo Subway ตั๋วใบนี้ค่อนข้างครอบคลุมทั้งหมดนะ เพราะขึ้นได้ทั้ง metro และ subway ขายให้เฉพาะนักท่องเที่ยวด้วย หาซื้อตามสถานีทั่วไปไม่ได้ ต้องซื้อจากสนามบินหรือสถานีหลักๆ เท่านั้น

FYI: สำหรับมือใหม่ รถไฟในโตเกียวมีอยู่ยิบย่อยหลายสายมาก แต่หลักๆ มี 3 ยี่ห้อ คือ Tokyo Metro, Toei Subway และ JR ส่วนสายเอกชนยิบย่อยอย่างอื่น ส่วนใหญ่อยู่นอกเมืองหรือเป็นสายไม่ทัวริสนะฮะ ไม่ค่อยได้้ใช้


ย่านอาซากุสะ

ไม่มาที่นี่เหมือนมาไม่ถึงโตเกียวนะเธอ
แลนด์มาร์กสำคัญอย่างวัดเซนโซจิ (Senso-ji) บอกแบบนี้อาจจะงง คิดไม่ออกละสิ งั้นถ้าบอกว่าโคมแดงแห่งอาซากุสะล่ะ น่าจะร้องอ๋อกันนะ

แล้วยังมีตึกเบียร์อาซาอี โตเกียวสกายทรี แล้วก็ตึกไอ้นั่นสีทอง ที่ใครๆ ก็คิดว่ามันคืออุนโกะหรือลูกอ๊อด แต่ที่จริงมันคือเปลวไฟ แห่งความเร่าร้อนของอาซาฮีต่างหาก








Edo-Tokyo Museum

อันนี้เปิดดูจาก Tripadvisor แล้วเห็นว่าเรทติ้งดีมากเลยสนใจ มันใกล้ๆ กับย่านอาซากุสะด้วย จัดรวมมาเป็นทริปเดียวกันได้

ลงสถานี Ryokoku ตั๋วเข้าชมนิทรรศการถาวรราคา 600 เยน ช่วงที่ไปมีนิทรรศการผีด้วยแต่ต้องจ่ายเพิ่ม กลายเป็นบัตร 2000 เยน แต่ตกลงว่าแค่นิทรรศการถาวรนี่อย่างเดียวก็พอแล้ว แต่แค่นี้ก็ใช้เวลาเกือบๆ 3 ชม.นะ

สรุปว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ดีอ่ะ  เป็นการจัดแสดงโตเกียวในช่วงยุคเอโดะ (ประมาณปี ค.ศ.1603-1867)
จำลองบ้านเรือน วิถีชีวิตช่วงนั้น สถานที่สำคัญในยุคนั้นทำนองนี้ ดูง่าย เข้าใจง่าย เพลินๆ ดี
เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี
ไฮไลต์เลยคือสะพานนิฮงบาชิ (Nihonbashi Bridge)  ขนาดเท่าของจริง พอเราข้ามสะพานไปก็ย้อนสู่อดีตเลยจ้า






Tokyo Tower เก่าแต่เก๋า

ลงสถานี Onarimon เพื่อไปชมโตเกียวทาวเวอร์แลนด์มาร์กแต่เก่าแก่ของโตเกียว
แต่มุมเด็ดมุมหนึ่งคือถ่ายจากวัด Zojo-ji
แต่ว่าแอบพลาดนิดนึง เพราะมาตอนบ่ายคล้อย ค่อนไปทางเย็น มันเลยย้อนแสง

ในวัดมีคุณลุงขายน้ำแข็งไสและไอติม อร่อยดี แต่ราคาแอบเจ็บปวดเมื่อคิดเป็นเงินไทย








พอเที่ยวชมที่นี่เสร็จว่าจะไปศาลเจ้าเมจิต่อ แต่ว่าไม่ทันแล้วเพราะศาลเจ้าน่าจะปิดตอน 6 โมงก็เลยต้องเปลี่ยนเป็นหาอะไรกินแทน
มีการลงมติว่าจะกินไก่ทอด เพราะว่าช่วงเที่ยงไปซู้ดราเมนกันมาแล้ว ส่วนซูชิไว้ไปกินพรุ่งนี้
นี่มีเพื่อนคนนึงอยู่แถวๆ โตเกียวเลยชวนไปกินไก่ยามะจังที่ใกล้ๆ สถานี Awajicho ระหว่างทางแอบมีงอแงกันเล็กน้อยเพราะโมโหหิว แต่พอได้กินไก่ก็สดชื่น เอ้า คัมปาย---





วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ปารีสห้าหมื่น 5

สองวันสุดท้ายในฝรั่งเศส ยังคงวนเวียนอยู่แค่ในปารีสเหมือนเดิม

วันที่สี่ของทริปในปารีสซึ่งเป็นวันเสาร์
ภารกิจที่สำคัญยิ่งยวดของวันนี้คือเดินห้างเพราะห้างทีปารีสปิดวันอาทิตย์


แต่จะไปห้างแต่เช้าตรู่มันก็กระไรอยู่นะ งั้นเลยขอไปเที่ยวก่อนพอเป็นพิธี

ที่จริงแล้วตั้งแต่นั่งรถบัสจากสนามบินเข้ามาใจกลางเมืองปารีส
พอเข้าเขตเมืองถ้ามองวิวท้องถนนก็จะมองเห็นวิหารบนยอดเนินโดดเด่นเป็นสง่ามาก
ที่นั่นคือมหาวิหารซาเคร์เกอร์ (Sacre-Coeur)
นี่ก็บอกกับตัวเองว่าจะพลาดที่ไหนก็ได้ แต่วิหารที่เนินนั่นจะพลาดไม่ได้

สุดท้ายก็ได้มาในวันที่ 4


มหาวิหารซาเคร์เกอร์อยู่ในย่านมงมาร์ต อันเป็นเขตที่เลื่องลือมากในด้านมิจฉาชีพในรูปแบบต่างๆ
กลางวันไม่ค่อยน่ากลัว แต่กลางคืนอันตรายหน่อย

อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่า มุกหากินกับนักท่องเที่ยวอีกแบบหนึ่งคือ ด้ายแดง
ส่วนใหญ่จะเป็นพี่ชายผิวดำแกจะพุ่งเข้ามา แล้วพูดประโยคเด็ดว่า "ฮาคูนา มาทาท่า" ทำนองว่า มัดด้ายแดงสิคุณ เพื่อความโชคดี นะๆ

ถ้าเราส่ายหัว เซย์โน พี่แกก็จะบอกว่า ' Don't worry, for your lucky' นัยว่า ไม่ต้องกังวลนะยู เพื่อความโชคดีของยูนะ มาให้ไอมัดด้ายแดงเหอะ

ใครหลงให้มัดแล้วละก็นะคุ้นนนน หน้ามืดกันเลย เพราะมันเก็บตังค์ด้วย 5 ยูโรมั่ง 10 ยูโรมั่ง 20 มันก็เรียกอ่ะคุณ อิชั้นนั่งมองอยู่ แม่งโครตหน้ากลัว แล้วถ้าใครไม่ให้มันนะ มันจิ้มหน้าอกเลย เรียกพวกมารุมเลย
เลวอ่ะ

ที่น่ากลัวสุดคือ พี่แกพุ่งเข้ามาจับแขนเลยค่าคุ้นนนน แต่แค่ดึงมือไว้นะ ยังไม่มัดให้
ดังนั้นถึงจะถูกจับมือก็อย่ายอมนะ ส่ายหัว ตีมึน ดึงแขนกลับมา ไม่งั้นจะเสียใจ

แล้วถามว่า ตำรวจอยู่ไหน อยู่ด้านล่างนี่ละแก
เดินลงบันไดมาเจอตำรวจยืนอยู่เลย แล้วพี่ดำแกก็หลอกมัดแขนอยู่ด้านบนบันได

ฮาคูน่า มาทาท่ามั้ยแก






แต่ด้วยความที่ย่านนี้อยู่บนเนิน ทำให้มองเห็นวิวเมืองปารีส แล้วตัวโบสถ์ก็สวย ย่านนี้ก็มีร้านรวงกิ๊บเก๋ให้เดินเพลินๆ นัยว่าเป็นย่านศิลปะ
ดังนั้นแม้จะโดนเป่าหูว่าเป็นย่านอันตรายไปบ้าง แต่โดยรวมย่านนี้ก็น่าพาตัวไปเสี่ยงอยู่ดี
ถ้าไม่โดนอะไรนับว่ายังมีโชคอยู่ แต่ถ้าโดนอะไรที่ไม่ดีไปบ้างถือเสียว่ามาหาซื้อประสบการณ์นอกสถานที่เนอะ

ออกจากย่านมงมาร์ตก็ไปโรงละครโอเปร่า
พอมาย่านนี้ก็เหมือนเป็นดารา มีคนมาขอลายเซ็นต์อีกล่ะ
แต่นี่ชินแล้ว นัยว่ากุเจอมา 4 วันละ แค่ย้ายเอากระเป๋ามาไว้ด้านหน้าแล้วก็ตีมึนเดินจากไป


ที่โอเปร่านี้ไม่รวมค่าเข้าชมอยู่ในบัตรมิวเซียมพาส ต้องซื้อตั๋วแยกต่างหาก 11 ยูโร

แน่นอนว่าเข้าไปดูเฉยๆ ไม่ได้ดูละครที่จัดแสดงด้านใน


พอเข้ามาด้านในก็แบบว่าโครตหรูหรา มีความเว่อวังอลังการยิ่งกว่าลูฟว์ที่เคยเป็นพระราชวังเสียอีก
ทุกที่เป็นสีเงินสีทองระยิบระยับ
เออว่ะ คุ้มค่ากับค่าตั๋วที่เสียเงินเข้ามานะ





ออกจากโอเปร่า เลยถือโอกาสไปเดินห้างลาฟาแยต (Galerie Lafayette)
โอ๊ย คุณณณณณณณ คนเยอะยังกับมีงานแจกของฟรี

ไอ้ความคิดที่ว่าจะมาเดินชมห้างหรูนี่ก็ไม่ได้ดูนะ เพราะคนเยอะยังกับมด เบียดกันไปมา
แค่จะหยุดเดินมองเพดานยังรู้สึกว่าตัวเองขวางทางชาวบ้านเลยอ่ะ
แล้วไอ้ยี่ห้อที่ฮิตๆ กันอย่างหลุยส์ ชาแนล อะไรแบบนี้ การจะเข้าไปด้านในต้องรอต่อแถวอีกยาวเป็นสิบเมตร
นี่ก็ไม่ไหวแล้วนะ ลาก่อน บาย
สุดท้ายไม่ได้อะไรติดมือมาเลยนอกจากขนม เพราะคนเยอะมาก เมาคนจ้า





ก็เลยไปจอร์จ ปงปิดู (The Centre Pompidou)

เมื่อสมัยก่อนโน้นเป็นตึกแรกๆ ที่ใช้วิธีการงัดเอาท่อ และพวกโครงสร้างเหล็กออกมาไว้ด้านนอก
ที่นี่เลยเป็นที่ชื่นชมว่าเป็นตึกที่เจ๋งดี
แล้วที่นี่ก็เหมือนเป็นหอศิลป์ ที่จะจัดแสดงงานอาร์ตเจ๋งๆ

แต่มิวเซียมพาสของเราจะเข้าได้แค่โซนพิพิธภัณฑ์ ซึ่งจะมีงานศิลปะหมุนเวียนมาเรื่อยๆ
ซึ่งอิงานที่เราไปดูเนี่ย ช่างอาร์ต ยาก เข้าไม่ถึง
สรุปคือ ที่นี่ง่อยสุดตั้งแต่ใช้บัตรมิวเซียมพาสมา
ไม่ใช่งานที่นี่ไม่ดีนะ เพียงแต่เราคงไม่เข้าใจ แต่ที่เข้าใจง่ายๆ ต้องเสียเงินไง เลยไม่ค่อยปลาบปลื้มกับที่นี่เท่าไหร่


ใกล้ๆ นี่มีห้างอีกล่ะ เป็นห้างชื่อ LE BHV MARAIS
เป็นเหมือนห้างท้องถิ่น นักท่องเที่ยวจะไม่เยอะเท่าแถวลาฟาแยฟ
มีช็อปเล็กๆ ของ Longchamp ซึ่งมีทุกสี ทุกแบบ ทุกไซส์ และทำเรื่องขอ Tax Refund ได้
ซื้อได้เลยไม่ต้องรอต่อคิวเข้าร้าน
และที่สำคัญสุดมีคนขายเป็นคนไทย โอ๊ย ดี เป็นการคุยกันที่รู้เรื่องที่สุดในทริปนี้ละ

ปารีสวันที่ห้า วันอาทิตย์ ห้างหยุด
มีแผนจะไปพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาฝรั่งเศส - MUSEUM NATIONAL D'HISTOIRE NATURELLE
ไม่รวมอยู่ในปารีสมิวเซียมพาส ตั๋วซื้อต่างหากราคา 9 ยูโร




ตามที่เข้าใจคือที่นี่จำลองเป็นเรือโนอาร์แล้วก็รวบรวมสัตว์ไว้ในช่วงน้ำท่วมโลก
มีเอฟเฟ็คเป็นสี-เสียงธรรมชาติด้วย
ดังนั้นเวลาอยู่ในพิพิธภัณฑ์ก็จะรู้สึกเหมือนว่าข้างนอกฝนตกหนักมาก หรือไม่ก็เป็นยามกลางวันที่อากาศดี หรือกลางคืนที่มีดาวสวย

ออกจากที่นี่ก็ไปเดินเล่นทำตัวไฮโซแถว ชองป์ เอลิเซ่

ร้านรวงเยอะดี พวกหลุยส์อะไรอย่างนี้ต้องต่อแถวยาวเฟื้อย
แต่ก็มีร้านธรรมดาให้กระเป๋าชนชั้นกลางค่อนล่างๆ อย่างนี่เอื้อมถึงเหมือนกัน


เดินไปเรื่อยๆ จากประตูชัยไปถึงลูฟว์
ที่จริงก็เมื่อยอ่ะนะ แต่ก็เลือกจะเดิน
แวะไปชื่นชมลูฟว์ก่อนจะกลับอีกรอบให้สาแก่ใจ





วันที่หก ในปารีสเป็นวันที่ต้องกลับเมืองไทยแล้ว
ตื่นตั้งแต่ตี 4 กว่าๆ เพื่อให้ทันนั่งรถไฟเมโทรเที่ยวแรก
แล้วต่อรถไฟสาย RER B เพื่อไปสนามบิน

ที่สถานี RER B ไม่มีทั้งเคาร์เตอร์ขายตั๋ว ไม่มีเจ้าหน้าที่รถไฟ(สงสัยยังประท้วงไม่เลิก) ไม่มี information อะไรสักอย่าง มีแต่ตู้ขายตั๋วซึ่งต้องใช้แต่บัตรเครดิตเท่านั้น

ตอนนั้นก็ยังไม่แน่ใจว่าจะซื้อตั๋วได้ไหม ซื้อถูกไหม
แต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้วอ่ะ ก็ลองเสี่ยงดู

ปรากฏว่าบัตรเครดิตเราใช้ได้แหละ ได้ตั๋ว RER B ไปสนามบิน CDG มา 2 ใบ


ที่สนามบินไม่มีอะไรมาก เจ้าบ้านเขาไม่อยากให้เราอยู่นานอยู่แล้ว เขาไม่กักตัวเราไว้หรอก

จากสนามบิน CDG ต้องไปต่อเครื่องที่อาบูดาบีอีก 1 ตุ้บ
ที่นี่คนเยอะมาก แถวยาวมาก ต่อแถวเพื่อผ่านแสกนกระเป๋า(และตัว) ร่วม 1 ชม.
มาทันบอร์ดดิ้งแค่ 5 นาทีเท่านั้นเอง
แต่ถึงอย่างนั้น นี่ก็ยังมีเวลาหอบหิ้วอินทผลัม 10+ กล่องกับอูฐแห่งอาบูดาบีกลับบ้านได้
ไม่มีเงินสกุล AED เรอะ ไม่ต้องห่วง รูดบัตรก่อนผ่อนทีหลัง

พอมาถึงหน้าเกทก็มีเซอร์ไพร์จ้า นี่ได้อัพเกรดเป็นบิสสิเนสสสสสสสส!!!!
โอ๊ย..คือดีอ่ะแก เป็นบุญกับก้นมาก
เพิ่งรู้ว่าบิสสิเนสมันดีกว่าอีโคโนมี มากมายขนาดไหน
เรื่องเบาะ ที่นั่งอะไรนี่มันก็ไฮโซกว่าอยู่แล้ว
แต่อาหาร เครื่องดื่ม และการบริการดีงาม เลิฟฟฟฟฟฟ


กลับบ้านมามานั่งหาดูว่าบิสสิเนสราคาขนาดไหน เผื่อจะได้เก็บตังค์ไปนั่งกับเขาบ้าง
พอเปิดดูราคาจ้า 50k ฟ๊ากกกกกก นั่นคือราคาบัตเจ็ททั้งทริปของอินี่จ้า

บาย ...บิสสิเนส
จงจนอย่างเจียมตัวและหาตั๋วโปรโมชั่นอีโคโนมี่ต่อไป