วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ปารีสห้าหมื่น 5

สองวันสุดท้ายในฝรั่งเศส ยังคงวนเวียนอยู่แค่ในปารีสเหมือนเดิม

วันที่สี่ของทริปในปารีสซึ่งเป็นวันเสาร์
ภารกิจที่สำคัญยิ่งยวดของวันนี้คือเดินห้างเพราะห้างทีปารีสปิดวันอาทิตย์


แต่จะไปห้างแต่เช้าตรู่มันก็กระไรอยู่นะ งั้นเลยขอไปเที่ยวก่อนพอเป็นพิธี

ที่จริงแล้วตั้งแต่นั่งรถบัสจากสนามบินเข้ามาใจกลางเมืองปารีส
พอเข้าเขตเมืองถ้ามองวิวท้องถนนก็จะมองเห็นวิหารบนยอดเนินโดดเด่นเป็นสง่ามาก
ที่นั่นคือมหาวิหารซาเคร์เกอร์ (Sacre-Coeur)
นี่ก็บอกกับตัวเองว่าจะพลาดที่ไหนก็ได้ แต่วิหารที่เนินนั่นจะพลาดไม่ได้

สุดท้ายก็ได้มาในวันที่ 4


มหาวิหารซาเคร์เกอร์อยู่ในย่านมงมาร์ต อันเป็นเขตที่เลื่องลือมากในด้านมิจฉาชีพในรูปแบบต่างๆ
กลางวันไม่ค่อยน่ากลัว แต่กลางคืนอันตรายหน่อย

อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่า มุกหากินกับนักท่องเที่ยวอีกแบบหนึ่งคือ ด้ายแดง
ส่วนใหญ่จะเป็นพี่ชายผิวดำแกจะพุ่งเข้ามา แล้วพูดประโยคเด็ดว่า "ฮาคูนา มาทาท่า" ทำนองว่า มัดด้ายแดงสิคุณ เพื่อความโชคดี นะๆ

ถ้าเราส่ายหัว เซย์โน พี่แกก็จะบอกว่า ' Don't worry, for your lucky' นัยว่า ไม่ต้องกังวลนะยู เพื่อความโชคดีของยูนะ มาให้ไอมัดด้ายแดงเหอะ

ใครหลงให้มัดแล้วละก็นะคุ้นนนน หน้ามืดกันเลย เพราะมันเก็บตังค์ด้วย 5 ยูโรมั่ง 10 ยูโรมั่ง 20 มันก็เรียกอ่ะคุณ อิชั้นนั่งมองอยู่ แม่งโครตหน้ากลัว แล้วถ้าใครไม่ให้มันนะ มันจิ้มหน้าอกเลย เรียกพวกมารุมเลย
เลวอ่ะ

ที่น่ากลัวสุดคือ พี่แกพุ่งเข้ามาจับแขนเลยค่าคุ้นนนน แต่แค่ดึงมือไว้นะ ยังไม่มัดให้
ดังนั้นถึงจะถูกจับมือก็อย่ายอมนะ ส่ายหัว ตีมึน ดึงแขนกลับมา ไม่งั้นจะเสียใจ

แล้วถามว่า ตำรวจอยู่ไหน อยู่ด้านล่างนี่ละแก
เดินลงบันไดมาเจอตำรวจยืนอยู่เลย แล้วพี่ดำแกก็หลอกมัดแขนอยู่ด้านบนบันได

ฮาคูน่า มาทาท่ามั้ยแก






แต่ด้วยความที่ย่านนี้อยู่บนเนิน ทำให้มองเห็นวิวเมืองปารีส แล้วตัวโบสถ์ก็สวย ย่านนี้ก็มีร้านรวงกิ๊บเก๋ให้เดินเพลินๆ นัยว่าเป็นย่านศิลปะ
ดังนั้นแม้จะโดนเป่าหูว่าเป็นย่านอันตรายไปบ้าง แต่โดยรวมย่านนี้ก็น่าพาตัวไปเสี่ยงอยู่ดี
ถ้าไม่โดนอะไรนับว่ายังมีโชคอยู่ แต่ถ้าโดนอะไรที่ไม่ดีไปบ้างถือเสียว่ามาหาซื้อประสบการณ์นอกสถานที่เนอะ

ออกจากย่านมงมาร์ตก็ไปโรงละครโอเปร่า
พอมาย่านนี้ก็เหมือนเป็นดารา มีคนมาขอลายเซ็นต์อีกล่ะ
แต่นี่ชินแล้ว นัยว่ากุเจอมา 4 วันละ แค่ย้ายเอากระเป๋ามาไว้ด้านหน้าแล้วก็ตีมึนเดินจากไป


ที่โอเปร่านี้ไม่รวมค่าเข้าชมอยู่ในบัตรมิวเซียมพาส ต้องซื้อตั๋วแยกต่างหาก 11 ยูโร

แน่นอนว่าเข้าไปดูเฉยๆ ไม่ได้ดูละครที่จัดแสดงด้านใน


พอเข้ามาด้านในก็แบบว่าโครตหรูหรา มีความเว่อวังอลังการยิ่งกว่าลูฟว์ที่เคยเป็นพระราชวังเสียอีก
ทุกที่เป็นสีเงินสีทองระยิบระยับ
เออว่ะ คุ้มค่ากับค่าตั๋วที่เสียเงินเข้ามานะ





ออกจากโอเปร่า เลยถือโอกาสไปเดินห้างลาฟาแยต (Galerie Lafayette)
โอ๊ย คุณณณณณณณ คนเยอะยังกับมีงานแจกของฟรี

ไอ้ความคิดที่ว่าจะมาเดินชมห้างหรูนี่ก็ไม่ได้ดูนะ เพราะคนเยอะยังกับมด เบียดกันไปมา
แค่จะหยุดเดินมองเพดานยังรู้สึกว่าตัวเองขวางทางชาวบ้านเลยอ่ะ
แล้วไอ้ยี่ห้อที่ฮิตๆ กันอย่างหลุยส์ ชาแนล อะไรแบบนี้ การจะเข้าไปด้านในต้องรอต่อแถวอีกยาวเป็นสิบเมตร
นี่ก็ไม่ไหวแล้วนะ ลาก่อน บาย
สุดท้ายไม่ได้อะไรติดมือมาเลยนอกจากขนม เพราะคนเยอะมาก เมาคนจ้า





ก็เลยไปจอร์จ ปงปิดู (The Centre Pompidou)

เมื่อสมัยก่อนโน้นเป็นตึกแรกๆ ที่ใช้วิธีการงัดเอาท่อ และพวกโครงสร้างเหล็กออกมาไว้ด้านนอก
ที่นี่เลยเป็นที่ชื่นชมว่าเป็นตึกที่เจ๋งดี
แล้วที่นี่ก็เหมือนเป็นหอศิลป์ ที่จะจัดแสดงงานอาร์ตเจ๋งๆ

แต่มิวเซียมพาสของเราจะเข้าได้แค่โซนพิพิธภัณฑ์ ซึ่งจะมีงานศิลปะหมุนเวียนมาเรื่อยๆ
ซึ่งอิงานที่เราไปดูเนี่ย ช่างอาร์ต ยาก เข้าไม่ถึง
สรุปคือ ที่นี่ง่อยสุดตั้งแต่ใช้บัตรมิวเซียมพาสมา
ไม่ใช่งานที่นี่ไม่ดีนะ เพียงแต่เราคงไม่เข้าใจ แต่ที่เข้าใจง่ายๆ ต้องเสียเงินไง เลยไม่ค่อยปลาบปลื้มกับที่นี่เท่าไหร่


ใกล้ๆ นี่มีห้างอีกล่ะ เป็นห้างชื่อ LE BHV MARAIS
เป็นเหมือนห้างท้องถิ่น นักท่องเที่ยวจะไม่เยอะเท่าแถวลาฟาแยฟ
มีช็อปเล็กๆ ของ Longchamp ซึ่งมีทุกสี ทุกแบบ ทุกไซส์ และทำเรื่องขอ Tax Refund ได้
ซื้อได้เลยไม่ต้องรอต่อคิวเข้าร้าน
และที่สำคัญสุดมีคนขายเป็นคนไทย โอ๊ย ดี เป็นการคุยกันที่รู้เรื่องที่สุดในทริปนี้ละ

ปารีสวันที่ห้า วันอาทิตย์ ห้างหยุด
มีแผนจะไปพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาฝรั่งเศส - MUSEUM NATIONAL D'HISTOIRE NATURELLE
ไม่รวมอยู่ในปารีสมิวเซียมพาส ตั๋วซื้อต่างหากราคา 9 ยูโร




ตามที่เข้าใจคือที่นี่จำลองเป็นเรือโนอาร์แล้วก็รวบรวมสัตว์ไว้ในช่วงน้ำท่วมโลก
มีเอฟเฟ็คเป็นสี-เสียงธรรมชาติด้วย
ดังนั้นเวลาอยู่ในพิพิธภัณฑ์ก็จะรู้สึกเหมือนว่าข้างนอกฝนตกหนักมาก หรือไม่ก็เป็นยามกลางวันที่อากาศดี หรือกลางคืนที่มีดาวสวย

ออกจากที่นี่ก็ไปเดินเล่นทำตัวไฮโซแถว ชองป์ เอลิเซ่

ร้านรวงเยอะดี พวกหลุยส์อะไรอย่างนี้ต้องต่อแถวยาวเฟื้อย
แต่ก็มีร้านธรรมดาให้กระเป๋าชนชั้นกลางค่อนล่างๆ อย่างนี่เอื้อมถึงเหมือนกัน


เดินไปเรื่อยๆ จากประตูชัยไปถึงลูฟว์
ที่จริงก็เมื่อยอ่ะนะ แต่ก็เลือกจะเดิน
แวะไปชื่นชมลูฟว์ก่อนจะกลับอีกรอบให้สาแก่ใจ





วันที่หก ในปารีสเป็นวันที่ต้องกลับเมืองไทยแล้ว
ตื่นตั้งแต่ตี 4 กว่าๆ เพื่อให้ทันนั่งรถไฟเมโทรเที่ยวแรก
แล้วต่อรถไฟสาย RER B เพื่อไปสนามบิน

ที่สถานี RER B ไม่มีทั้งเคาร์เตอร์ขายตั๋ว ไม่มีเจ้าหน้าที่รถไฟ(สงสัยยังประท้วงไม่เลิก) ไม่มี information อะไรสักอย่าง มีแต่ตู้ขายตั๋วซึ่งต้องใช้แต่บัตรเครดิตเท่านั้น

ตอนนั้นก็ยังไม่แน่ใจว่าจะซื้อตั๋วได้ไหม ซื้อถูกไหม
แต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้วอ่ะ ก็ลองเสี่ยงดู

ปรากฏว่าบัตรเครดิตเราใช้ได้แหละ ได้ตั๋ว RER B ไปสนามบิน CDG มา 2 ใบ


ที่สนามบินไม่มีอะไรมาก เจ้าบ้านเขาไม่อยากให้เราอยู่นานอยู่แล้ว เขาไม่กักตัวเราไว้หรอก

จากสนามบิน CDG ต้องไปต่อเครื่องที่อาบูดาบีอีก 1 ตุ้บ
ที่นี่คนเยอะมาก แถวยาวมาก ต่อแถวเพื่อผ่านแสกนกระเป๋า(และตัว) ร่วม 1 ชม.
มาทันบอร์ดดิ้งแค่ 5 นาทีเท่านั้นเอง
แต่ถึงอย่างนั้น นี่ก็ยังมีเวลาหอบหิ้วอินทผลัม 10+ กล่องกับอูฐแห่งอาบูดาบีกลับบ้านได้
ไม่มีเงินสกุล AED เรอะ ไม่ต้องห่วง รูดบัตรก่อนผ่อนทีหลัง

พอมาถึงหน้าเกทก็มีเซอร์ไพร์จ้า นี่ได้อัพเกรดเป็นบิสสิเนสสสสสสสส!!!!
โอ๊ย..คือดีอ่ะแก เป็นบุญกับก้นมาก
เพิ่งรู้ว่าบิสสิเนสมันดีกว่าอีโคโนมี มากมายขนาดไหน
เรื่องเบาะ ที่นั่งอะไรนี่มันก็ไฮโซกว่าอยู่แล้ว
แต่อาหาร เครื่องดื่ม และการบริการดีงาม เลิฟฟฟฟฟฟ


กลับบ้านมามานั่งหาดูว่าบิสสิเนสราคาขนาดไหน เผื่อจะได้เก็บตังค์ไปนั่งกับเขาบ้าง
พอเปิดดูราคาจ้า 50k ฟ๊ากกกกกก นั่นคือราคาบัตเจ็ททั้งทริปของอินี่จ้า

บาย ...บิสสิเนส
จงจนอย่างเจียมตัวและหาตั๋วโปรโมชั่นอีโคโนมี่ต่อไป



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น