วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ปารีสห้าหมื่น 2

นอกจากค่าตั๋วแล้ว ก็มีค่าที่พักนี่แหละที่ทำให้งบท่องเที่ยวสูงหรือต่ำ
เราไม่ได้จำกัดงบที่พักไว้ ขอแค่ที่พักพอใช้ได้ในราคาที่พอรับไหวก็โอเคแล้ว
ฟังดูรวยเนอะ ที่จริงคือราคาที่พอรับไหวคือคืนละพันห้าเองจ้ะ

เราพักในปารีสล้วนๆ 5 คืน โรงแรมที่ว่างติดกัน 5 คืน แพงสุด
สุดท้ายเลยแยกพักเป็น 2 ที่
  • Au Royal Mad Hotel (118 euro) 2 คืน ห้องน้ำรวม ไม่มีลิฟต์ ก็ลากกระเป๋าขึ้นบนไดเวียนแคบๆ ไป 3 ชั้นสิแก
  • Hotel de la Place des Alpes (240 euro) 3 คืน พักชั้น 2 เลยไม่ได้ใช้ลิฟต์ ลากกระเป๋าเหมือนเดิม

ทั้ง 2 ที่เดินจากเมโทรได้ในระยะ 1-2 นาที จนท.เฟรนด์ลี่มาก โอเคประทับใจ 
ราคานี้ไม่รวมอาหารเช้าต้องซื้อเพิ่ม อีกคนละ 6 กับ 12 euro
นี่ก็งกจ้ะ ชั้นซื้อจากซุปเปอร์ตอนเย็นมากินตอนเช้าเอา


ก่อนจะมาปารีส 1 อาทิตย์มีข่าวว่าที่นี่น้ำท่วม ลูฟวร์ปิด Musee d'Osay ก็ปิด เรือล่องแม่น้ำแซนไม่ได้
นี่ก็กังวลว่าแล้วเราจะเที่ยวกันยังไง เราต้องกลายเป็นผู้ประสบอุทกภัยกับเขาด้วยมั้ย

พอก่อนหน้านั้นสัก 2 วันปารีสไม่มีฝนแล้ว น้ำก็เริ่มลด
และวันที่เราไปลูฟวร์เปิดเป็นวันแรกหลังจากที่ปิดมาหลายวันพอดี ดีใจน้ำตาจะไหล
แต่ระดับน้ำยังสูงอยู่ โปรแกรมล่องเรือในลำน้ำแซนเลยต้องงดไปโดยปริยาย




แต่ก่อนอื่นไปเกาะ Cite ก่อนเลย
กลางแม่น้ำแซน จะมีเกาะเล็กๆ อยู่ 2 เกาะ คือ Ile de la Cite กับ Ile Saint Louis
2 เกาะนี้คือต้นกำเนิดปารีส

บนเกาะ Ile de la Cite มีสถานที่ประวัติศาสตร์สำคัญที่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลัก เช่น 
  • โบสถ์ Cathedrale Notre-Dame de Paris
  • โบสถ์ Saint-Chapelle
  • วังที่กลายเป็นศาล Palais de Justice de Paris
  • วังที่กลายเป็นคุก Conciergerie
  • สะพานใหม่แต่เก่าที่สุดอย่าง  Pont Neuf
แค่เกาะนี้ที่เดียวก็อยู่ได้เป็นวันๆ

โบสถ์ Saint-Chapelle 





สวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก 
พอผ่านประตูเข้าไปชั้นแรกก็จะพบห้องไม่ใหญ่มาก ประดับด้วยกระจกสีๆ ดูธรรมดามาก
ถ้าเดินออกไปคือจบเลยนะ จะไม่พบเจอความสวยของที่นี่
เพราะจะมีบันไดแคบๆ แอบอยู่ข้างๆ ให้ขึ้นไปชั้นที่ 2 และจะพบกับความงามของกระจกสีที่แท้จริง



Conciergerie วังที่กลายเป็นคุก

อยู่ติดกับโบสถ์ Saint-Chapelle กับ Palais de Justice de Paris เลย
ที่นี่เคยเป็นที่คุมขังนักโทษทางการเมือง รวมทั้งพระนางมารี อ็องตัวแน็ต กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 มาก่อน




นี่สนใจอยากดูว่านักโทษทางการเมืองเมื่อก่อนอยู่ยังไง แต่เข้าไปดูแล้วก็เฉยๆ นะ
ห้องคุมขังก็เป็นห้องจำลองที่ทำขึ้นใหม่
แล้วห้องไฮไลต์ก็เป็นห้องของพระนางมารี อ็องตัวเเน็ต แต่น่าจะไม่ใช่ห้องจริงที่เคยอยู่ น่าจะแค่จำลองบรรยากาศให้ดูเฉยๆ

ช่วงสุดท้ายของชีวิตพระนางจบได้ไม่สวยงามเท่าไหร่ ถูกเกลียดชัง ถูกตัดพระเศียรด้วยกิโยติน
แต่หลังจากนั้นก็เอาชีวประวัติพระนางมาหากินกันเนอะ ดูย้อนแย้ง
อย่างของที่ระลึกในพิพิธภัณฑ์มีผลิตภัณฑ์มารี อ็องตัวแน็ตเต็มเลย
ถูกเกลียดชังในยุคนึง แต่เป็นจุดสนใจของคนในอีกยุค
ชีวิตมนุษย์ช่างซับซ้อน

ส่วนความน่าสนใจของ Conciergerie จะเข้ามาดูก็ได้ไม่เข้ามาดูก็ไม่น่าเสียดายอะไร
แต่ไหนๆ มิวเซียมพาสก็เข้าฟรีแล้ว เข้าก็ได้

มหาวิหารน็อทร์-ดามกับจุดกิโลเมตรที่ 0 ของปารีส


ที่จริงเป็นโบสถ์เก่าๆ ทรุดโทรม ไร้การดูแล
จนกระทั่งนิยายเรื่อง The Hunchback of Notre Dame ของ Victor Hugo ที่มีวิหารน็อทร์ดามเป็นฉากหลักของเรื่องดังเป็นพลุแตก ผู้คนก็เลยหันกลับมาสนใจที่นี่และบูรณะจนกลายเป็นมหาวิหารอย่างปัจจุบัน


และที่นี่ยังเป็นจุดหลักกิโลที่ 0 ของปารีส เขาว่าใครได้มายืนจุดนี้จะได้กลับมาเยือนปารีสอีกแหละ
นี่ก็เจอมนุษย์จีนหรือเกาหลีไม่แน่ใจ มุงล้อมหลักกิโลอยู่นานมาก กว่าจะฝ่าผู้คนไปเหยียบได้นี่รอนานเลย


ส่วนด้านบนสามารถเดินขึ้นบันไดขึ้นไปได้ แถวขึ้นด้านบนจะอยู่ด้านข้างๆ ของวิหาร
แต่ตอนเราไปแถวปิดแล้วเลยกะว่าจะมาวันหลัง หารู้ไม่ว่าวันหลังก็ไม่ได้มาแล้ว 
ฮือ..กากอยด์ 
อยากขึ้นไปดูกากอยด์


พอออกจากเกาะ Cite ก็เดินไปลูฟวร์
ที่เดินลัดเลาะตามแม่น้ำไม่ใช่ว่าใกล้อย่างเดียวนะ งกด้วย แค่ 2 สถานีเองเดินไป มีแรงก็เดินไป
อากาศเย็นดี แต่แดดแรงมากจนตาหยี นี่ก็งงกับอากาศ
ยิ่งช่วงที่เราไปพระอาทิตย์ตก 4 ทุ่ม เดินจนร่างแหลกกลับโรงแรม ฟ้ายังแจ้งอยู่เลยจ้า



ที่เอาโปรแกรมลูฟวร์ไว้หลังสุดเพราะวันนี้วันพุธ ทุกวันพุธและวันศุกร์ ลูฟวร์จะปิด 3 ทุ่มครึ่ง
เราไปลูฟวร์ทั้งหมด 3 ครั้ง คือวันพุธ ศุกร์ และเสาร์ ทุกครั้งไปช่วงเย็นๆ แถวสั้นมากไม่เคยเกิน 10 คน
เดินไปถึงต่อคิวสแกนกระเป๋า เสร็จ

ยิ่งมีมิวเซียมพาสนี่เดินเล่นในลูฟวร์เหมือนเดินไปตลาดหน้าปากซอย เพราะฟรีแล้ว เข้า-ออกกี่ครั้งก็ได้

Musee de Louvre
ลูฟวร์ในวันที่พีระมิดหายไป

เป็นโปรเจ็คของศิลปิน ถ้าเกิดว่าที่ลูฟวร์ไม่มีพีระมิด


ลูฟว์เคยผ่านจุดที่เป็นวังหลวงที่รุ่งเรือง ตกต่ำถึงขีดสุดถึงขนาดเป็นที่อยู่ของโสเภณีและคนเร่ร่อน และกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเมื่อถูกปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์

เคยอ่านเจอว่า ไม่มียุคไหนที่ลูฟว์จะรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ไปกว่ายุคนี้อีกแล้ว




ลูฟร์ บ้านพักของโมนาลิซ่า


ลูฟร์ แบ่งออกเป็น 3โซนคือ
  • SULLY
  • DENON
  • RICHELIEU 
ซึ่ง 3 โซนนี้เข้ากันคนละทางแต่จะเชื่อมต่อกันเอง



นี่เข้าทาง Sully เดินไปโผล่ Denon สักพักเดินไปโผล่ Richelieu อีกแล้ว จะเดินกลับโซนเดิมก็ไม่ได้ต้องหลงกันต่อไป
ใครมาลูฟว์ครั้งแรกแล้วไม่หลงนี่มีกราบ เป็นนางกำนัลถวายตัวกลับชาติมาเกิดอีกทีรึไง

แต่เดินลูฟว์สนุกมาก เพราะของที่จัดแสดงก็สวย จัดวางก็สวย แถมลูฟว์ที่เคยเป็นวังมาก่อนก็สวย
นี่ชอบโซนแกะสลักหินอ่อน มีความพริ้วความงามอยู่ในตัว



เดินได้รอบละ 2 ชม.ก็เหนื่อยแล้ว  ถึงชอบแค่ไหนก็เบื่อ ก็ต้องกลับ
กลับถึงโรงแรมตอน 3 ทุ่ม ฟ้ายังแจ้งอยู่เลย
คุณพระ!


วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ปารีสห้าหมื่น 1


ปารีสครั้งนี้ไม่ได้ซื้อซิมการ์ด ไม่ได้เปิดโรมมิ่ง ไม่มีเน็ตมือถือเล่น ไม่ได้เช่าพ็อกเก็ตไวไฟด้วย
ดังนั้นสิ่งที่ต้องเตรียมคือ

  • โหลดแผนที่ปารีสใน google map แบบ offline ไว้
  • โหลดแอพ Next Stop Paris เป็นแอพเมโทรของปารีส โหลดแบบ offline ไว้เช่นเดียวกัน
  • แอพ google Translate โหลดภาษา French ไว้ล่วงหน้าด้วย

3 แอพนี้คือของจำเป็นที่ทำให้อยู่รอดได้ในปารีส 5 คืนแบบสบายๆ

แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ถ้าขาดสตางค์กับบัตรเครดิตก็ไม่รอดแหละ
ดังนั้นไอ้ 3 อย่างข้างบนไม่ต้องทำมาก็ได้ เอามาแต่ตังค์ก็พอแล้ว


พอผ่าน ตม. แล้วก็ถือว่าเราได้เหยียบแผ่นดินพระเจ้าหลุยส์อย่างแท้จริง
ทีนี้ก็หาทางออกจากสนามบิน CDG ซึ่งจะมีด้วยกัน 3 ทางใหญ่ๆ คือ

  • รถไฟ RER B ราคา 10 euro จะจอดทั้งหมด 3 สถานีใหญ่ๆ 
  • รถบัส Roissy bus ราคา 11 euro จะจอดที่จุดเดียวคือ Opera
  • แท็กซี่ เท่าไหร่ไม่รู้ ส่งถึงหน้าที่พักเลยแต่แพงสุด
นี่ก็คิดไตร่ตรองมาจากบ้านแล้ว เราจะเลือก Roissy bus เพราะรถจะมีที่วางกระเป๋าแล้วก็ไม่ต้องไปเบียดเสียดกับชาวปารีเซียงบนรถไฟ

ก่อนออกจากสนามบินแวะ Tourist Information ก่อนเลย แวะซื้อบัตร Paris Museum Pass บัตรเหมาจ่ายสำหรับเข้าพิพิธภัณฑ์ได้ตั้ง 54 ที่ มีแบบ 2, 4, และ 6 วัน
นี่จัดไปเลยเหนาะๆ 6 วัน 74 euro ที่จริงซื้อแค่ 4 วันก็พอแล้ว แต่นี่ขี้เกียจคิดมาก เอา 6 วันนั่นแหละ


พอเลือกจะขึ้น Roissy bus ก็ลากกระเป๋าไปรอที่ป้ายรถได้เลย ซื้อตั๋วได้ 2 แบบคือ
  • ซื้อกับคนขับรถบัส แต่ถ้าเป็นแบงค์ใหญ่คนขับไม่มีทอน
  • ซื้อกับตู้ ต้องเป็นเหรียญหรือแบงค์เล็กเท่านั้น กับรับแต่บัตรเครดิต
นี่ก็วิตกจริตจากการอ่านในพันติ๊บมาว่า บัตรเครดิตบ้านเราใช้กับตู้ไม่ได้ เพราะบัตรบ้านเราไม่มี code ที่ต้องกดแบบฝรั่งเขา งั้นก็ต้องซื้อด้วยเงินสดเท่านั้นแหละ
(FYI: ความจริงคือใช้ได้ เสียบไปเลย ไม่มีรหัสก็ไม่ต้องกดแค่นั้นแหละ) 

โชคดีว่ามีเหรียญที่ทอนมาจากการซื้อบัตรมิวเซียมพาส ก็เลยซื้อกับตู้ แล้วก็ไปนั่งรอที่ห้อง
ที่ห้องก็จะมีป้ายบอกว่าอีกกี่นาทีรถจะมา พอป้ายบอก 0 นาที ข้าก็เดินออกไปสิ
ปรากฏว่า ไม่มีรถบัสสักคัน เพราะมันออกไปแล้ว บ้าาาา

สรุปคืออิรถบัสนี่จะเหมือนรถเมล์บ้านเราแหละ ก็ต้องออกไปรอที่ป้ายก่อนแป๊บนึง
รถจะวนไปป้าย terminal นั้น นู่น นี่ (ซึ่งสนามบิน CDG มีหลายเทอมินอลมาก) จนครบรอบก่อนจะไปสุดสายที่ opera
ดังนั้นแต่ละป้ายก็จะจอดแป๊บเดียว ถ้าคนเยอะก็ช้าหน่อย ถ้าไม่มีคนก็ฟิ้วเลยจ้า
นี่ก็เลยต้องรอรถคันที่ 2 อีก 15 นาที


รถจอดที่สุดสายสถานี Opera พอลากกระเป๋าลงมาจากรถก็จะมีวัยรุ่นพุ่งเข้ามาแล้วพูดว่า
"YOU SPEAK ENGLISH?" แล้วจะขอให้เราลงชื่อลงบนกระดาษ

นี่ก็อ่านมาจากพันติ๊บอีกแล้วว่า ขณะที่เราเหวอแดกลงชื่ออยู่ พวกวัยรุ่นก็จะมาล้อมหน้าล้อมหลังแล้วพอรู้ตัวอีกทีก็
ของหาย!!

นี่ก็หลอนสิคะ ติวแฟนมาอย่างดี ถ้ามีคนมาพูดแบบนี้กับเธอ เธอทำไม่รู้ไม่ชี้ตีมึนเดินไปเลยนะอย่าให้เด็กๆ มาล้อมได้

มุกหากินของมิจฉาชีพที่ปารีสที่ดังๆ มี 2 อย่างคือ

  • YOU SPEAK ENGLISH. พบบ่อยสุดแทบทุกหน้าสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ 
  • มุกด้ายแดง อันนี้เจอหน้าลูฟว์เบาๆ แต่ที่หนักสุดคือหน้าโบสถ์ Sacre'-Coeur นั่นพี่แกถึงขั้นพุ่งมาจับมือเลยทีเดียว
ซึ่งอิ 2 มุกที่ว่ามา คนเอเชียอย่างเราไม่ค่อยโดน นัยว่าเตรียมตัวมาดี แต่ฝรั่งนี่โดนเพียบจ้า ฮาคูน่า-มาทาท่า สิแก



จากการตีมึนเราก็ฝ่าวงล้อมเด็กๆ มาได้ นี่ก็นึกว่ารอดแล้วไง ก็เดินไปเมโทร

ซึ่งแถวนั้นก็มีนักท่องเที่ยวเยอะมาก ข้างหลังเราก็มีวัยรุ่นถือแผนที่เดินตามมา
จังหวะที่ผ่านกระจกหน้าร้านอาหาร บังเอิญว่าเราดันไปเห็นภาพสะท้อนภาพเจ้าเด็กวัยรุ่น2 คนที่ตามมาข้างหลังเอื้อมมือมาจะเปิดกระเป๋าเราพอดี เราก็หันไปมองแล้วคว้ากระเป๋ามาสะพายไว้ด้านหน้า เดินไปบอกแฟนว่ามีเด็กวัยรุ่นเอื้อมมือจะมาจับกระเป๋าเรา พอเราหยุดหันกลับมามองเจ้า 2 คนนั่นหายไปแล้ว

โดนต้อนรับตั้งแต่เหยียบใจกลางปารีสเลยทีเดียว จากนั้นถ้าคนเยอะๆ ก็จะสะพายกระเป๋าไว้ด้านหน้าตลอด นอกจากเหตุการณ์นี้แล้วทีเหลือเราก็อยู่รอดปลอดภัยดี ถือว่าปารีสทักทายกันเบาๆ ให้พอระวังตัว

จากนั้นก็ลากกระเป๋าลงเมโทร ก่อนหน้านั้นต้องซื้อตั๋ว
โดยอิตั๋วเมโทรที่นี่เป็นแบบเหมาคือราคา 1.8 euro ตลอดสาย แต่ถ้าซื้อทีละ 10 ใบจะลดราคาเหลือแค่ 1.41 euro
ตั๋ว 10 ใบนี่เรียกว่าตั๋ว Carnet [kar-nay]


ซึ่งก็เหมือนเดิมคือตู้รับเฉพาะเหรียญกับแบงค์เล็ก
นี่ก็เลยไปซื้อกับป้าที่ information

ด้วยความเป็นนักอ่านก็อ่านมาอีกละว่าชาวปารีเซียงไม่นิยมชมชอบภาษาอังกฤษ อารมณ์แบบกูรู้นะ แต่กูไม่พูดมีไรป่ะ

พอถึงคิวก็บอกป้าเลยว่า การ์เน่
ป้า-งง
เอ๊ะ..รึไม่ใช่การ์เน่วะ งั้นเอาใหม่
"กา-เน็ต, คาร์-เน็ต, คา-เน่" นี่ก็พยายามอ่านให้ออกสำเนียงปารีเซียง
ป้า-งง
"เท็น ทิกเก็ต, พลีส" จบ ภาษาอังกฤษนี่แหละวะ
ป้า-อ๋อ
อ้าว.... อิหอยหลอด (คำอุทาน ไม่ได้ด่าป้าจ้ะ)  สรุปคืออยู่มา 5 วันภาษาอังกฤษล้วนๆ ก็พอคุยกับชาวปารีเซียงรู้เรื่อง ส่วนภาษาฝรั่งเศสพูดอยู่คำเดียวบองชูว์ๆ แค่นั้นแหละจ้ะ

พอคุยกับป้ารู้เรื่อง ป้าบอกไม่รับเงินสดอ่ะยู การ์ดโอนลี่
ก็หยิบบัตรเครดิตเข้าไปเสียบเครื่อง และรอลุ้นว่าจะใช้ได้ไหม เพราะอย่างที่บอกไปว่าเราไม่มีโค้ดไง
ปรากฏว่าใช้ได้

อ้าว... พันติ๊บหลอกกุอีกละ


วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ปารีสห้าหมื่น 0.5



ปารีสไม่ได้ไปกันง่ายๆ เพราะเราต้องไปต่อเครื่องที่กัวลาฯ

ตอนแรกก็คิดว่าจะบินไปกัวลาฯ ตอนเช้า แล้วนั่งเครื่องบินไปปารีสตอนค่ำเลย
แต่ก็คิดว่าจะเหนื่อยไป เน่าด้วย
งั้นไปนอนกัวลาฯ 1 คืน ตอนเช้าๆ บ่ายๆ เที่ยวกัวลาฯ นิดนึงแล้วพอเย็นๆค่อยไปขึ้นเครื่องไปปารีส

พกเงินไป 500 มาเลเซียริงกิต สำหรับ 2 คน เหลือๆ เลย ใช้ไปแค่ 370 MYR
พักโรงแรมชื่อ Metro Hotel อยู่แถวๆ KL Sentral ลงรถมาลากกระเป๋ามั่วๆ มาก็ถึง

วันรุ่งขึ้นก็ตื่นสายๆ เช็คเอาท์ นั่งรถไฟฟ้าไปตึกแฝด Petronas ถ่ายรูปเช็คอิน ถือว่ามาถึงมาเลเซียละ


กลับจากตึกปิโตรนาสก็นั่งรถบัสจาก KL Sentral มาสนามบินเลย

รถบัสมันจะลงที่ KLIA2 แต่เราต้องไปขึ้นเครื่องที่ KLIA 1 ไง 

แล้วอิ KLIA 1 นี่มันอยู่ที่ไหน
เปิดกูเกิ้ลค้นดูยิ่งสติแตก มีคนบอกว่ามันไกลกัน เดินไม่ได้หรอก 

อ้าว..แล้วมันไกลขนาดไหนอ่ะแก 
แล้วถ้ามันไกลกันแบบดอนเมือง - สุวรรณภูมิ จะไปทันรึแก

ตัดภาพไปที่ข้าพเจ้าที่กำลังสติแตกเดินไปหา information ของสนามบิน
เขาบอกว่าเรานั่งรถไฟ KLIA Transit ไประหว่าง 2 สนามบินนี้ได้ ราคาคนละ 3 ริงกิต




เครื่องออก 7.40 PM ไปถึงอาบูดาบี 11.00 PM สิริรวม 7 ชม.
ไม่ต้องไปสนเวลาออกกับเวลาถึงหรอก มันคือความต่างของเส้นเวลา

แต่พอถึงเวลาจริงๆ บินกับ Jet Airways ล่ะ
เครื่องเป็นของ Jet Airways แต่แอร์และของด้านในเป็นของ etihad ทั้งหมดเลย นี่ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าบินกับ Jet หรือ บินกับ etihad ดีเหมือนกัน


จองกับสายการบิน Etihad ก็ต้องไปต่อเครื่องที่ UAE นี่ก็ต้องไปเปิดกูเกิ้ลว่า UAE มันคือที่ไหน
ตกลงคือ อาบูดาบี นี่เอง

พอถึงสนามบินอาบูดาบีก็ต้องสแกนกระเป๋ากันอีกรอบ
รอบนี้คือแถวยาวมาก** ใส่ดอกจันทร์ไว้เยอะๆ เลย
ถ้าต้องต่อเครื่องที่นี่ควรเผื่อเวลาสัก 3 ชม. ขากลับเราเผื่อไว้ 2 ชม. ยังมาทันบอร์ดดิ้งแค่ 10 นาที
แล้วถ้าเครื่องตุ้บที่ 1 ดีเลย์นะแก ไม่อยากจะคิด


ตุ้บที่ 2 อาบูดาบี-ปารีส อีก 6 ชั่วโมง
รอบนี้ได้นั่งแถว 4 คนเลยไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่
แถมคนยังขึ้นเครื่องเต็มลำแบบแน่นเอี๊ยด จะย้ายไปไหนก็ไม่ได้
แอร์ยังลืมให้ผ้าห่มอีกผืน
snack box ก็ไม่ได้
แต่ตอนนั้นก็ง่วงๆ ก็ขี้เกียจทวง เพราะหลับตั้งแต่เครื่องยังไม่ออก ลืมตามาทีบางคนก็มีกล่องของว่างวางไว้ให้ล่ะ แล้วของเราล่ะ โธ่!

สรุปว่าบินขามากับ etihad ก็อยู่รอดปลอดภัยดี เป็นที่น่าพอใจ เว้นแต่ตุ้บ 2 ที่ออกจะไม่ชอบอยู่บ้างแต่ก็หลับมาอย่างเดียวอยู่ดีแหละ ตอนเช้าอาหาร เครื่องดื่มก็เสิร์ฟเป็นปกติดี

มาถึงปารีส 7.55 AM อากาศเย็น 16 องศา ซึ่งมาเลเซียกับบ้านเรานี่มันแตะๆ 35 องศาแล้ว
ป่วยตั้งแต่วันแรกเลยค่ะ


ด่านแรกต้องผ่าน ตม. นี่ก็สังเกตเห็นความต่างตั้งแต่อากาศจนถึงตม. กันเลยทีเดียว
ตม.ถามคำถามแรก "ข้างหลังนั่นแฟนใช่มั้ย งั้นเข้ามาพร้อมกันเลย"

ขากลับก็เหมือนกัน คือถ้ามาพร้อมกัน เข้าไปมุงพร้อมๆ กันได้เลย มา 4 คนก็ไปมุง ตม.ทีเดียว 4 คนนี่แหละ ส่วนบ้านเรามากี่คนก็ต้องเข้าไปทีละคน
ส่วนสแกนนิ้วมืออะไรไม่ต้องแล้ว เพราะเราถูกเก็บ Biometric ตั้งแต่วันทำวีซ่าแล้ว
ประทับตราเสร็จ ตม. ขยิบตาใส่แฟน 1 ที
เฮ้ย..วัฒนธรรมแบบนี้ไม่คุ้นเคย

บองชูว์จ้ะ ปารีส

วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ปารีสห้าหมื่น 0.1




..(1)  เรื่องมันมีอยู่ว่า 
คติประจำใจคือ ปีนึงๆ เราต้องไปเยือนยังสถานที่ใหม่ๆ ที่เรายังไม่เคยไปบ้าง

..(2)  เรื่องมันมีอยู่ว่า  มือลั่น กดจองตั๋วไปปารีสด้วยความขาดสติ สตางค์ก็ขาดด้วย

คิดแต่ว่า
รูดบัตรก่อน เดี๋ยวหาจ่ายทีหลัง

สาเหตุที่มือลั่น



บินกับ Etihad ด้วย สายการบินนี้ก็รีวิวดีครึ่งไม่ดีครึ่ง มีทั้งคนชอบและคนด่า 
นี่ก็ลังเลเอาไงดีหว่า แล้วอิราคานี้มันจะโผล่มาอีกมั้ยเนี่ย

โอเคแต่ราคานี้ต้องบินจาก KUL นะ (ช่วงนั้นมันมีโปรต้องไปขึ้นที่สิงคโปร์กับกัวลาฯ) 
ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก

นี่ก็นั่งคิด-นอนคิดด้วย ตั๋วไปมาเลเดี๋ยวนี้อย่างมากก็ 2 พันละวะ บวกๆ รวมๆ แล้วก็ยังถูก งั้นจองไป 
สรุปโดนตั๋วไปมาเลฯ 2 คนที่ 6,600 เพราะโดน จนท.ที่ TLScontactไซโคตอนไปขอวีซ่าว่า ถ้าไม่มีตั๋วออกจากไทยวีซ่าอาจไม่ผ่านนะ นี่ก็เลยจองไปวันนั้นเลยจ้ะ โปรฯ อะไรไม่ได้จองทั้งนั้น

ค่าตั๋วแอร์เอเชียโดนไป 4500 ค่าโหลดกระเป๋ากับของกินบนเครื่องอีกคนละพัน

เบ็ดเสร็จจ่ายสิริรวมค่าตั๋ว กรุงเทพ-ปารีส ตกคนละ 20,000 ต่อคน 
อ้าว..มันก็เท่ากับบินตรงจากไทยเลยนี่หว่า 

เอาน่า จ่ายทีละนิด ทีละหน่อยย่อมรู้สึกว่าถูกกว่าจ่ายตู้มเดียว จริงมั้ย..

จองเดือน 9/58
บินจริงเดือน 6/59 ระหว่างรอก็ออมเงินเก็บใส่กระปุกไป




พอเดือน 3/59 ก็เออ ต้องทำวีซ่าแล้วนี่หว่า
นี่ก็มีปัญหาอีกเพราะไม่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานประจำ มีร้านค้าแต่เงินเข้า-ออกบัญชีก็ช่างกระจ้อยร่อย ก็พยามยามส่งเอกสารเท่าที่มี

วีซ่าฝรั่งเศสต้องยื่นผ่านตัวแทน TLScontact พอส่งเอกสารเสร็จ ก็แบบว่า โอ๊ย..จะผ่านมั้ยนะ ถ้าไม่ผ่านจะเอาตังค์ที่เก็บมาทั้งหมดไปทุ่มให้ญี่ปุ่นหมดตัว ระหว่างนั้นก็หาตั๋วญีปุ่นรอเลย ถ้าวีซ่าไม่ผ่านนะแกร๊...

ระหว่างนั้นก็เลยไม่ได้หาข้อมูลอะไรเลย นอนรอวีซ่าอย่างเดียว
ผ่านไป 2 อาทิตย์ ที่มันนานเพราะมันติดหยุดช่วงสงกรานต์พอดี

วีซ่าผ่านจ้า
นี่ได้ 3 เดือน บองชูร์ปารีส แมร์ซีโบกู