วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ปารีสห้าหมื่น 4


10 June 2016

ปารีสวันที่ 3
เริ่มต้นวันดีๆ ด้วยการเก็บของลงกระเป๋า เช็คเอาท์ แล้วลากกระเป๋าลงบันไดเวียนแคบๆ ลงมาอย่างระมัดระวัง

ก่อนหน้านี้มีผู้หญิงคนนึง ลากกระเป๋าเดินตกบันไดเวียนของที่พักหล่นตุ้บลงมาอยู่ด้านล่างเรียบร้อยแล้ว
นี่ก็อยู่ชั้นบนมองลงมาเห็นเหตุการณ์นะ แต่ก็หลบและทำเป็นมองไม่เห็น กลัวเธออาย

หลังจากยัดร่างกับกระเป๋าใบโตลงเมโทรที่โชคดีวันนี้คนไม่เยอะเท่าเมื่อวานได้ ก็ไปถึงโรงแรมที่ใหม่เกือบๆ 10 โมง แต่ยังเข้าห้องพักไม่ได้ เลยฝากของไว้ก่อนแล้วค่อยเข้ามาใหม่ คุณป้าที่รับเรื่องไว้แกดูเป็นคนเฮฮาดี ผิดจากคำบอกเล่าที่ว่าชาวปารีเซียงนั้นช่างเย็นชาลิบลับ

เนื่องจากเมื่อวานตั้งเป้าอะไรไว้ก็ไม่ได้ดู วันนี้เลยเป็นการซ่อมทริปเมื่อวานเกือบทั้งหมด

เริ่มจากต้องไปถ่ายรูปกับหอไอเฟล เดี๋ยวคนจะหาว่ามาไม่ถึงปารีสของจริง
นี่ไปลงที่สถานี Trocadero เขาบอกว่าถ่ายรูปจากตรงนี้สวยดี
แต่บังเอิญว่าช่วงนี้มีซ่อมแซมอะไรสักอย่าง เลยถ่ายได้แค่มุมเดียว




จากสถานีนี้ก็นั่งเมโทรต่อไปประตูชัยได้เลย
บัตรมิวเซียมพาสขึ้นประตูชัยได้อีกแล้วเหมือนกัน ก่อนขึ้นประตูก็มีการตรวจกระเป๋าอะไรเล็กน้อยเหมือนเดิม คนตรวจกระเป๋าที่ปารีสกับที่ไทยน่าจะจบหลักสูตรเดียวกันมา เปิดกระเป๋า ไฟส่อง เอ๊า..ผ่าน

จะขึ้นประตูชัยมีทางเดียวคือเดินขึ้นบันไดเวียนแคบๆ 248 ขั้นอย่างเดียวเท่านั้น มีจุดพักให้แค่ 2 แห่ง เดินขึ้นไปถึงชั้นบนเสร็จหอบเป็นหมาหอบแดดเลยจ้า

แต่นี่คิดว่าวิวที่ประตูชัยสวยดี ไม่สูงหรือต่ำไป เป็นวิวแบบเปิดโล่ง มองเห็นหอไอเฟลและวิหารซาเคร์เกอร์ (Sacre-Coeur) อยู่ไกลๆ และภาพที่ถนนทุกสายวิ่งสู่ประตูชัยนั้นมองได้เพลินดี
น่าเสียดายนิดนึงที่วันนี้เมฆครึ้ม ฟ้าไม่สวยเลย แต่โชคดีที่ฝนไม่ตกลงมา
ถึงอย่างนั้นแดดก็แรงเอาเรื่องเหมือนกัน

ถ้าเป็นตอนกลางคืนคงสวยมาก แต่มาช่วงนี้คงทนรอจนมืดไม่ไหว 3 ทุ่มครึ่งฟ้าเพิ่งเริ่มมืดเอง






ออกจากประตูชัยนั่งเมโทรไปพิพิธภัณฑ์ออร์เซย์ที่เมื่อวานไปแล้วมันดันปิด
หิวข้าวด้วยเลยนั่งกินที่บลาสเซอรี่ชื่อ Les Deux Musee' หน้าพิพิธภัณฑ์

ร้านนี้เรทติ้งในกูเกิ้ลช่างจิ๊บจ้อย แต่พอลองไปกินแล้วก็อร่อยดี คุณลุงที่เป็นบริกรก็ดูแลดี
นี่เผลอไปสั่งทาร์ทาร์สเต็ก (Steak Tartare) โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเนื้อดิบ คุณลุงก็อธิบายให้ด้วย ถามว่าเรากินได้แน่นะ แล้วแนะนำอาหารที่เราน่าจะกินได้มา

โต๊ะนี้หมดไป 1600 บาท เหงื่อแตกซิกๆ

กินอิ่มแล้วกระเป๋าก็เบาโหวงๆ แล้วด้วย นี่ก็เดินข้ามถนนมาเข้ามิวเซียมออร์เซย์

มิวเซียมออร์เซย์แต่เดิมเป็นสถานีรถไฟเหมือนหัวลำโพงบ้านเรา สุดท้ายเลิกใช้และเกือบจะถูกทุบทิ้ง แต่ก็ถูกทำมาเป็นพิพิธภัณฑ์ในที่สุด

ข้างในก็ให้บรรยากาศหัวลำโพงอยู่หน่อยๆ แฮะ สงสัยเป็นเพราะนาฬิกาเรือนใหญ่บนกำแพง
ที่นี่มีทั้งรูปปั้น และรูปวาด รวมทั้งมีผลงานของแวน โก๊ะ อยู่ด้วยหลายภาพ
โดยรวมคือเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่สวย ดูง่าย เลยชอบที่นี่มาก







ฝั่งตรงข้ามพิพิธภัณฑ์ออร์เซย์คือพิพิธภัณฑ์ศิลปะ Musee de I'Orangerie
นี่ก็เดินผ่านสะพาน Passerelle Solferino ที่มีการแขวนกุญแจคู่รักไว้เต็มเลย ที่จริงมีอีกสะพานนึงที่แขวนกุญแจแบบนี้ แต่ไม่ได้ผ่านไปทางนั้น


ที่ Musee de I'Orangerie ตั้งใจเข้ามาดูสระบัว (Water Lilies) ของโม่เน่โดยเฉพาะเลย
เคยอ่านเจอมาว่าภาพสระบัวใหญ่มาก แต่ไม่นึกว่าจะใหญ่ขนาดนี้ ใหญ่มากจริงๆ



ออกจากที่นี่เดินผ่านสวนตุยเลอรี (Jardin des Tuileries) ผ่านประตูชัยเล็ก ที่เล็กจิ๋วนิดเดียว เมื่อเทียบกับประตูชัยที่ถนนชองเอลิเซ่ เดินต่อไปอีกนิดก็จะถึงลูฟว์






แถวๆ นี้มีพี่คนดำคอยขายกับพวกด้ายแดงอยู่ แต่ไม่ได้น่ากลัวมากเหมือนแถวมงมาร์ต

ถ้าเมื่อยๆ เบื่อๆ มานั่งริมสระน้ำหน้าลูฟว์ก็ได้ มีเพื่อนนักท่องเที่ยวหลายชาตินั่งเพียบเลย



ปิดทริปของวันนี้ด้วยการเดินลูฟว์เป็นครั้งที่ 2 เดินได้สบายมาก กรุ๊ปทัวร์ก็ไม่ค่อยมีแล้วเพราะเย็นมากแล้ว 
นี่ได้ยืนประชันหน้ากับป้าโมนาลิซ่าแบบสบายๆ เลย


วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ปารีสห้าหมื่น 3


9 JUNE 2016

วันที่ 2 ในปารีสตื่นประมาณ 7 โมงเช้า ไม่มีอาการเจ็ทลง เจ็ทแล็กอะไรสักอย่าง
หลับตื่นเหมือนตัวเองมีบ้านเกิดเมืองนอนอยู่ในยุโรปเลยทีเดียว

ถึงจะตื่นเช้าแต่ก็ออกจากโรงแรม เกือบๆ 10 โมง กะว่าให้เลี่ยงช่วงเวลาออกไปทำงานของชาวปารีเซียง

แต่พอไปถึงเมโทรเจอคนเต็มเลยแกร๊ เบียดกันเป็นปลาแซลมอนอัดกระป๋อง
ทำไมชาวปารีเซียงถึงออกไปทำงานกันช้าจัง


วันนี้วางแผนว่าจะไปแวร์ซาย เพราะวันนี้อากาศดี ฝนไม่ตก น่าจะเที่ยวได้สนุก
ปรากฏว่าพอไปถึงสถานี RER C ที่จะต่อไปแวร์ซาย
ก็มีแผงเหล็กมากั้นทางเข้าไม่ให้เข้า แล้วก็มีป้ายบอกทางไปแวร์ซายโดยรถบัส
ตอนแรกนึกว่าทางรถไฟเสียหายจากน้ำท่วมทำให้ไปไม่ได้

อ้าว ปรากฏว่าสหภาพรถไฟประท้วงกันจ้า พอน้ำท่วมกุก็หยุด พอน้ำลดกุก็หยุดต่องี้เลย
เฮ้ย เห็นใจกันบ้าง เรามาไกลให้เราไปเหอะ...

จนวันสุดท้ายเราก็ยังไม่ได้ไปแวร์ซาย เพราะแกประท้วงกันยาว ไม่รู้ว่าพอเรากลับมาถึงไทยแล้ว พวกพี่แกจะกลับมาทำงานกันหรือยัง*

แผนไปแวร์ซายเลยต้องพับไว้ก่อน แผนสำรองก็ต้องงัดออกมาใช้แทน

*FYI นี่เพิ่งรู้หลังจากผ่านไป 1 ปีว่ามี Versailles Express เป็นรถโค้ชพาไปแวร์ซายมีจุดจอดอยู่แถวๆ หน้าไอเฟล โถ..นี่ถ้ารู้ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าคงได้ไปแล้ว ฮือ...

พอถามพี่กู(เกิ้ล) แกก็บอกว่าใกล้ที่สุดคือมิวเซียมโรแดง ( Musee Rodin)


Musee Rodin เป็นที่รวมผลงานของลุงออกุสต์ โรแดง (Auguste Rodin) และของสะสมของคุณลุงอีกนิดหน่อย
ผลงานที่ข้าพเจ้ารู้จักมีอยู่ 1 ชิ้นถ้วนนั่นคือ The Thinker

เลยไปดูแบบไม่คาดหวังอะไร ไหนๆ มิวเซียมพาสก็เข้าฟรีอยู่แล้ว แต่ก็เคยอ่านเจอมาว่าที่นี่สวยดี


พอเข้ามาแล้วก็บอกกับตัวเองว่า
ชั้นรักที่นี่

มีรูปปั้นตั้งอยู่ท่ามกลางสวนกุหลาบ มีร้านคาเฟ่ไว้นั่งตากแดด จิบกาแฟ ชมสวนสวยๆ
แล้วสมมติว่าตัวเองเป็นมาดามอะไรสักอย่างแห่งปารีส
โครตงาม ประทับใจแบบสุดๆ

อันที่ว่ามานี้คือข้างนอกตึก

ส่วนด้านในตึกก็จัดแสดงผลงานของลุงโรแดง อันนี้ก็สวยดี

คือชอบที่นี่ เอาไปเลย 11 เต็ม 10






ถัดจากมิวเซียมโรแดงคือ Hotel-des-Invalides ไม่แน่ใจว่าจะต้องออกเสียงยังไงถึงจะถูก
เอาเป็นว่าที่นี่คือหลุมฝังพระศพของนโปเลียนที่ 1 กษัตริย์ผู้สวมมงกุฏให้ตัวเอง

ด้านในมีโลงขนาดมหึมาของนโปเลียนที่ 1 ตั้งอยู่ แต่ทีเด็ดของที่นี่อีกอย่างคือภาพจิตรกรรมที่วาดอยู่บนเพดาน ที่ไม่ว่าใครเข้ามาก็ต้องก้มหน้าดูโลง กับเงยหน้าดูเพดานกันทั้งนั้น





ถัดจากตึกนี้ในอาณาเขตเดียวกันคือ พิพิธภัณฑ์ทางทหาร (Musee de l'Armee)
มิวเซียมพาสเข้าได้ฟรีอีกแล้ว ด้านในมีตั้งแต่ชุดเกราะอายุ7-800 ปี จนถึงชุดยุคใกล้ๆ นี่อย่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2



กว่าจะวนดูจนครบก็เมาชุดเกราะไปพักใหญ่ๆ เลยทีเดียว
เลยว่าจะเดินชมนกชมไม้ ชมเมือง ไปหอไอเฟล ซึ่งจากจุดนี้ไปหอไอเฟลก็ไกลกันโขอยู่นะ  แต่ด้วยความงกก็เดินไง

จนผ่านพ้นวันนี้ไป สุดท้ายก็เลยบอกกับตัวเองว่าไม่ต้องทรมานสังขารด้วยคำว่า งก ก็ได้มั้ง


อุตส่าห์เดินมาไกลมากถึงหอไอเฟล แต่มันดันเข้าไปสนามหญ้าหน้าหอไอเฟลไม่ได้ไง
เพราะเขาปิดสวนเพื่อทำแฟนโซนในช่วงบอลยูโร เหมือนวันนี้ต้องมีบัตรด้วยถึงจะเข้าได้
แต่ตรงหอไอเฟลเปิดให้ขึ้นไปได้นะ แต่นี่ไม่ได้พิศวาสอยากขึ้นไปดูวิวจากหอไอเฟล
คือตูอยากไปถ่ายรูปติดหอไอเฟลอ่ะเว้ย


สองคนนี้ก็ไม่ละความพยายาม เผื่อว่าด้านนี้จะปิด แต่ด้านใกล้ๆ หอไอเฟลจะเปิด
ก็เลยเดินกันไปเลยจ้า 1 กิโลกว่าๆ จากปลายสนามหญ้าไปยังหอไอเฟล
แต่มันดันปิดทุกทางอย่างพร้อมเพรียงกัน
โอเค เฟลยกกำลัง 2


สุดท้ายวันนี้ก็เลยได้ถ่ายหอไอเฟลจากมุมตึกต่างๆ แทนวิวสนามหญ้าเลย

แผนต่อไป คือจะเดินไป Musee d'Osay ต่อ
นี่ก็ยังจะเดินต่ออีกนะ
แม้มันจะเมื่อยมากก็เถอะ แต่มันกลับตัวไม่ได้แล้ว ระหว่างเดินไปขึ้นเมโทร กับเดินไปมิวเซียม ดี ออร์เซย์ ระยะทางไม่ได้ต่างกันเลย ก็ให้เหตุผลกับตัวเองไปว่าเดินลัดเลาะริมน้ำแซนไปสิเธอ โรแมนติก




ระหว่างทางก็เจอ Quai Branly Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใกล้กับหอไอเฟลมาก แต่ไม่ได้อยู่ในความสนใจใดๆ ของนี่เลย เพราะมันไม่ดังไง

แต่ไหนๆ ก็ผ่านแล้วเปิดไกด์บุ๊ค เขาบอกว่าเป็นที่ที่รวบรวมของแปลกจากทั่วโลก

อะไรคือของแปลกในสายตาของฝรั่งตาน้ำข้าว

ไอ้เราก็ไหน ๆ ก็เฟลจากไอเฟลแล้ว ก็เลยเข้าที่นี่ก็ได้
ซึ่งชอบที่นี่มากอีกแล้ว
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เหนือความคาดหมายมาก

ไม่ใช่ของแปลกแบบนก 3 หัว หมา 2 หางอะไรทำนองนี้นะ
เป็นการรวบรวมของจากวัฒนธรรมจากหลายๆ ทวีป ซึ่งฝรั่งก็เห็นว่าแปลกแหละ

ก็แบ่งเป็นของจากทวีปต่างๆ อย่างโซนอาเซียน เอเชียกลาง ยุโรป อเมริกา แอฟริกา
อย่างของไทยเราก็มี หน้ากากผีตาโขนแบบนี้
ที่ชอบคือการจัดวาง ทำให้สิ่งของทุกอย่างมันดูน่าสนใจไปหมด
เรคคอมเมนต์ที่นี่จ้า



ออกจากมิวเซียมตอน 6 โมง เพราะนึกว่าเขาจะปิด 6 โมงไง แต่วันที่เราไปเป็นวันพฤหัสบดีซึ่งที่นี่จะเปิดถึง 3 ทุ่มนู่น
รู้อย่างนี้ไม่รีบเดินหรอก มิวเซียมอันนี้น่าสนใจดี เดินดูไปได้เรื่อยๆ ชอบอ่ะ

แม้จะออกจากมิวเซียมด้วยความอิ่มใจ แต่กายนี่โครตเมื่อย
ในใจก็ฮึดเอา บอกกับตัวเองว่าเฮือกสุดท้ายของวันนี้แล้ว ไปเดินดูมิวเซียม ดี ออร์เซย์สักชั่วโมงแล้วก็กลับไปพักผ่อนเสียที

ลากสังขารพากันไปจนถึงหน้ามิวเซียมเพื่อพบว่ามันปิด

วอท เดอะ ฟ๊าก!