วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Kansai. I, You, We, There (4)

Day 05 Arashiyama, Kyoto

วันนี้ลังเลระหว่างป่าไผ่อาราชิยาม่ากับปราสาทฮิเมจิ

สุดท้ายธรรมชาติแห่งป่าไผ่ก็เอาชนะปราสาทนกกระสาขาวไปได้

และเนื่องจากไม่ได้ใช้บัตรอะไรเป็นพิเศษเราเลยเลือกทางที่สะดวกสำหรับเรา

นั่นคือนั่งรถไฟสาย JR ไปลงสถานี JR Kyoto แล้วต่อรถไฟไปลงที่สถานี JR Saga Arashiyama

ไปถึงสถานีเกียวโตก็เกือบเที่ยงแล้ว เปิดไกด์บุ๊คเจอว่ามีร้านเด็ดอยู่ที่ห้าง The Cube

ซึ่งเป็นห้างติดกับสถานีเกียวโตเลย จึงควรค่าแก่การไปชิม

ร้านนั้นคือ ร้าน Katsukura




เป็นอาหารประเภทหมูชุบเกล็ดขนมปังแล้วเอาไปทอด
ปกติเราไม่ค่อยชอบอาหารประเภทนี้ แต่กินที่ญี่ปุ่นนับว่าเด็ดจริง
ขนาดคนไม่ชอบกินอย่างเราต้องยอมอ่ะ


มื้อนี้จำราคาไม่ได้แต่ไม่ถึง 2,000 เยน
กินอิ่ม นั่งรถไฟไปลงสถานี Saga Arashiyama
พอไปถึงสถานี saga arashiyama ก็งงต่อจ้ะ ไม่รู้จะไปทางไหน อ่านแผนที่แล้วก็งง
เดินตามคนไปเลยสิลูก ทุกคนล้วนมุ่งหน้าสู่ป่าไผ่

เดินจากสถานีไปราว 10 นาทีก็ถึงป่าไผ่








ขอสรุปว่า ป่าไผ่สวยดี แต่ที่สวยมันแค่ 200 เมตร ที่เหลือก็งั้นๆ

ไม่ค่อยประทับใจอ่ะ
ช่วงที่สวยคือระยะราว 200 เมตรจากวัดเทนริวจิแค่นั้นเอง

พูดถึงวัดแถวๆ นั้นก็จะมีศาลเจ้า Tsukiymomi กับ วัดเทนริวจิ

วัดเทนริวจิก็จะออกแนวสวนสวย ชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวก็จะมาชมสวน ชมต้นไม้ดอกไม้กัน


เดินออกจากป่าไผ่ไปเดิมเล่นริมน้ำ

ตรงนี้สวยดี แนะนำให้มา อากาศก็ดี






มีล่องเรือชมวิว หรือจะพายเรือก็ได้

นี่ถ้ามีเพื่อนมาด้วยก็จะเช่าเรือพายแล้ว
แถวๆ นั้นก็มีช๊อปปิ้งสตรีทตามเคย ก็มาเดินเล่นกันได้
ส่วนเราไม่ได้ซื้ออะไรมาก เลยนั่งรถไฟกลับโอซาก้าไปหาซื้อของฝากที่โอซาก้าเอา

Day 06 Last day :Osaka


วันนี้ต้องเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม และฝากกระเป๋าไว้ก่อน

ตอนสัก 2 ทุ่มค่อยมาเอากระเป๋าไปสนามบิน เพราะแอร์เอเชียมีบินตอนเที่ยงคืน

ใครบินแอร์เอเชียก็ต้องระวังเรื่องเวลากันไว้ดีๆ 

อย่างของเรามันเขียนว่าบิน วันที่ 7 เวลา 00.30 น.
นั่นคือเราบินเที่ยงคืนของวันที่ 6 นะ 
พลาดกันละก็ ตกเครื่องเลยนะคุณ


หอคอย Tsutenkaku สัญลักษณ์อย่างนึงของโอซาก้า 
อยู่ใกล้ที่พักเลย แต่ไม่ได้ไป


ปกติเราเป็นคนชอบเดินพิพิธภัณฑ์ ตั้งแต่มายังไม่ได้เดินเลยสักที่

วันนี้เลยค้นกูเกิ้ลเลยจ้ะ ว่าควรจะไปที่ไหนดี

มาค้นเจอที่นี่ Osaka Museum of Housing and Living

เป็นพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของคนโอซาก้า
นั่งรถไฟมาลงที่สถานี Tenjibashisuji 6-Chorme 
ใช้ทางออกหมายเลข 3 แล้วกดลิฟต์ไปชั้น 8 เลย

ไปถึงก็ต้องฝากกระเป๋า ไม่เสียเงิน 

แต่ตอนเปิดตู้ต้องใช้เหรียญ 100 เยนหยอดเพื่อเปิด
แต่จะได้คืน ไม่ต้องห่วง




พอซื้อตั๋วเข้าไปด้านในก็จะเจอกับห้องกระจกที่จำลองบ้านแบบญี่ปุ่นโบราณ

ไม่ได้มากันแค่หลัง 2 หลัง แต่มาแบบเป็นหมู่บ้านเล็กๆ เลยทีเดียว

โอ๊ย.. เจ๋งอ่า เอาความประทับใจไป 10 คะแนน





มองลงไปก็จะเห็นนักท่องเที่ยวใส่ชุดยูกาตะ ค่าเช่า 200 เยน







นอกจากนี้ยังมีชั้นที่แสดงหุ่นจำลองวิถีชิวิตคนโอซาก้าเมื่อสมัยก่อน ดูง่าย และน่ารักดี




สรุปว่า พิพิธภัณฑ์นี้เอาคะแนนไปเลยเต็ม

ใช้เวลาเดินชมแค่ 30-45  นาทีก็เดินได้ทั่วแล้ว
การจัดแสดงก็น่าสนใจดี เข้าใจง่าย
เด็กๆ ก็ดูได้ ผู้ใหญ่ก็ดูดี
เป็นโปรแกรมที่สนับสนุนให้บรรจุไว้ในแพลนของทุกคน

พกความรู้เดินออกมาจากพิพิธภัณฑ์ก็เที่ยงพอดี หิวแล้วด้วย

แถวๆ นั้นเหมือนเป็นย่านร้านค้าเล็กๆ อีกตะหาก เลยเดินสำรวจร้านรวง
เจอร้านซูชิจานหมุนร้านนึง พุ่งตัวเข้าไปเลยจ้า



รสชาติก็อร่อยตามมาตรฐานซูชิจานหมุน พนักงานก็บริการดี๊-ดี ตามสไตล์ชาวเจแปนนีส

ราคาก็ไม่แพง เป็นปลื้มฮะ




ระหว่างทางเจอป้ายโฆษณานิทรรศการอีกที่หนึ่ง

ข้าพเจ้าก็สนใจอีกแล้ว แต่เป็นโปสเตอร์ที่ไม่มีภาษาอังกฤษสักตัวเลยจ้า
ก็ต้องใช้สกิล google ค้นไปจนเจอว่านิทรรศการนี้จัดแสดงอยู่ที่ National Museum of Art



ก็เดาๆ เอาว่าแบ่งงานออกเป็น 3 แห่งคือที่ เกียวโต โอซาก้า และโกเบ

ส่วนที่จัดแสดงในโอซาก้าเป็นเรื่อง Cleopatra and the Queens of Egypt



ก็หาวิธีเดินทางไปจนถึง National Museum of Art จนได้

ใช้เวลาเดินจากสถานีสัก 5-10 นาที แล้วแต่ว่าลงที่สถานีไหน
ด้านในก็จัดแสดงภาพแกะสลักเอย ข้าวของเครื่องใช้เอย
โดยจะเน้นไปที่คลีโอพัตราและราชินีอียิปต์เสียส่วนใหญ่




เรื่องข้าวของการจัดแสดงก็ไม่ได้ประทับใจมาก

แต่ที่ประทับใจคือคนญี่ปุ่นที่เข้ามาดูพิพิธภัณฑ์นี่แหละ
ประมาณ 99% เป็นคนญี่ปุ่น เออ...พูดให้ถูกคือช่วงเวลานั้นมีเราเป็นต่างด้าวคนเดียว

คือคนญี่ปุ่นตั้งใจดูมาก ศึกษาจริงจัง ดูละเอียดยิบ ชอบบรรยากาศแบบนี้มาก

ของที่ระลึกก็น่าซื้อ แต่ขี้เกียจจัดกระเป๋าใหม่เลยไม่ได้ซื้อมา
พอกลับมาแล้วก็น่าเสียดายแฮะ น่าจะซื้อมาเยอะๆ




หลักฐานของการพัฒนาสติปัญญาในวันนี้

ทีนี้ก็ถึงไฮไลต์สำคัญของทริปนี้ นั่นคือ SPA WORLD

สารภาพว่าแม้จะมาญี่ปุ่นตั้ง 3 ครั้งแล้วแต่ยังไม่เคยแช่ออนเซ็น หรือเข้าห้องอาบน้ำรวมเลยสักที
ครั้งนี้ตัดสินใจว่าจะต้องไม่พลาด

พอไปถึง SPA WORLD จริงๆ

ป๊อดจ้าาาาาาาา
นั่งนิ่งๆ อยู่หน้าสปาเวิร์ดอยู่เกือบชั่วโมงเพื่อตัดสินใจ



สุดท้ายก็ตัดสินใจได้

ตัดสินใจกลับนะ คือปอดแหกไง
ไม่กล้าไปแก้ผ้าอาบน้ำต่อหน้าคนอื่น ตามวิสัยชาวไทยผู้ไม่สันทัดการอาบน้ำรวม

ระหว่างที่เดินกลับก็เดินสวนกับชาวญี่ปุ่นสองคน แกเดินมาเข้าสปาเวิร์ดพอดี

นึกยังไงไม่รู้ตัดสินใจเดินตามเลยจ้า

ไปถึงก็กดเงินหยอดตังค์ซื้อตั๋วที่ตู้เลย 

จำราคาเป๊ะๆ ไม่ได้นะ แต่รู้สึกว่าจะประมาณ 1000-1200 เยน
อ้าว ..ทีนี้ซื้อตั๋วแล้ว เสียตังค์แล้ว จะไม่เข้าก็ไม่ได้นะยูว์

ก็เลยเดินถือตั๋วไปที่พนักงานเพื่อรับสายรัดข้อมือ พร้อมรับคำอธิบาย

โดยที่นี่จะแบ่งเป็นชั้นๆ 
ชั้น 4 คือโซนยุโรป ส่วนชั้น 6 คือโซนเอเชีย
แต่ละชั้นก็จะสลับชาย - หญิง ผลัดกันใช้ไปทีละเดือน
ส่วนที่เหลือเป็นซาวน่าและสระว่ายน้ำ มีโซนพักผ่อนด้วย

หลังจากได้รับสายข้อมือแล้ว ก็ไปที่ล็อกเกอร์ฝากรองเท้าไว้

แล้วเดินไปขึ้นลิฟต์ 
ทีนี้เดือนที่เราไป ผู้หญิงอยู่ชั้น 4 โซนยุโรป ก็กดลิฟต์ไปชั้น 4

แล้วก็เดินออกจากลิฟต์ ไปยังป้ายสีแดง จากตรงนี้ไปผู้ชายตามไปไม่ได้แล้ว

มันคืออาณาจักรของผู้หญิง
พอเข้าห้องไปปุ๊บ เจอป้าแก้ผ้าเดินโตงเตงผ่านไปชิ้ววววว

(⊙o⊙)


(⊙o⊙)


(⊙o⊙)


(⊙o⊙)


ข้าพเจ้าบรรลุสัจธรรมตรงนั้นเองว่าสังขารนั้นไม่เที่ยง


ไอ้ที่เรากังวลว่า ก้นเราจะลาย หุ่นเราจะไม่ดี มีหน้าท้อง พุงไม่สวย


ไม่ต้องกังวลไปจ้า ยิ่งกว่าเราก็มีจ้า


มาถึงตรงนี้ก็เดินหาล็อกเกอร์เพื่อฝากสัมภาระ รวมถึงแก้ผ้าตรงนี้เลย

เลือกหามุมเอาตามสะดวกนะทุกคน

เราก็เลือกมุมที่ไม่มีคน เพื่อจัดการถอดชุดออก ระหว่างที่กำลังถอดกางเกง


ภาพตัดไปที่...

พนง. หญิง โผล่มาจ้า

อ้าว... ช็อก ไม่ทันตั้งตัว แต่ก็ทำหน้านิ่งไว้ นี่ก็ค่อยๆ บรรจงถอดทีละชิ้นอย่างช้าๆ

แต่ คุณน้องพนง.ก็ไม่เดินไปไหนสักที ก็ทำงานอยู่ตรงนั้น

ถึงตอนนั้น นี่ก็เลยไม่อง ไม่อายแล้วจ้า ช่างมันเหอะ ถอดเลย


แล้วก็เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็กติดไปเป็นอาวุธ 1 ผืน

อยากปิดตรงไหนก็ตามใจ ถ้าอายนักก็ปิดหน้า คลุมหัวกันเลยจ้า

 ไปถึงก็เดินไปล้างตัว อาบน้ำ สระผม แล้วก็เลือกบ่อได้เลย


ที่จริงมันก็จะอายอยู่แค่ 1 นาทีแรก หลังจากนั้นก็ช่างมันเต๊อะ ..ช่างมันเต๊อะ..ช่างมัน


ความสนุกมันอยู่ต่อหลังจากที่สลัดความอายได้นี่แหละ


ภาพประกอบนำมาจาก www.spaworld.co.jp นะเพราะข้างในห้ามถ่ายรูป


ที่โซนยุโรป ก็ตกแต่งออกแนวยุโรปเลย (ก็แน่ละ) และมีบ่อน้ำร้อนเยอะมาก เช่น





ซึ่งแต่ละบ่อก็มีความร้อนแตกต่างกันไป


เราก็สนุกตรงที่เดินเข้าบ่อโน้น ออกบ่อนี้ ดีมาก ชอบมากกกก มีความสุขดี สบายตัวจริงๆ

ที่ชอบและอยากแนะนำก็คือ
- บ่อสมุนไพรในโซน Greece อุณหภูมิไม่สูงมาก บ่อหอมๆ
- บ่อฟินแลนด์ อันนี้ฟินสมชื่อ อันนี้จะเป็นอ่างขนาดพอดีคน เป็นน้ำวน อุณหภูมิ 38 องศา สบายตัวสุดๆ เราแช่หลายรอบมาก


- และสุดท้าย บ่อกลางแจ้ง บ่อ Spain

โหย...คุนนนนนนน เพิ่งเข้าใจความฟินของการไปแช่น้ำร้อนที่อากาศเย็นๆ มันดีมากกกกกกกกก (ก ไก่ ล้านตัว)




ออกจากบ่ออย่าลืมดื่มนมด้วย มันฟินดีจริงๆ

หลังจากนั้นก็กลับมาสวมเสื้อผ้า
ที่นี่มีห้องสำหรับแต่งตัว ล้างหน้า แปรงฟัน มีครีมบำรุงให้ด้วย
แต่ฉลากทีนี่ทุกอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่นจ้า
ดังนั้นข้าพเจ้าก็เลย หยิบครีมทาผิวมาเช็ดเครื่องสำอางค์ เอาครีมทาตัวมาทาหน้า เอาครีมทาหน้ามาทาตัว มั่วกันไปหมด (อันนี้ก็กลับมาค้นหาข้อมูลหลังจากกลับมาแล้ว  〒_〒 )

จากประสบการณ์พบว่า

- คนญี่ปุ่นไปที่นี่น้อยมาก แต่คนจีนกับเกาหลีเยอะมากจริงๆ ฝรั่งพอมีบ้าง 2-3 คน

- ส่วนคำถามที่ว่ามีแอบมองหุ่นกันมั้ย อันนี้ตอบว่ามีแน่นอน แต่ก็มีมารยาทไง คือมองแบบเพราะคุณเข้ามาอยู่ในพิกัดสายตา เวลาคุยกับ พนง.หรือคนอื่นก็มองหน้า ไม่ได้มองข้างล่าง แล้วก็ไม่ได้วิจารณ์รูปร่างหน้าตาของคนอื่น ไปเพื่อพบสัจธรรม ไปละสังขารงี้


สุดท้ายจำใจลากจาก spa world ไปตอน 2 ทุ่มครึ่ง เพราะกลัวจะไม่ทันรถไฟไปสนามบิน

ช่างเป็นประสบการณ์ที่ประทับใจจริงๆ

นั่งรถไฟไปสนามบินคันไซ ราว 1 ชม.

ไปถึงเคาร์เตอร์แอร์เอเชียยาวมาก แต่ถ้าเป็นพวกที่เช็คอินทางมือถือมาก่อนจะมีแถวแยกต่างหาก
แถวนั้นจะสั้นพอสมควร
ดังนั้นใครกลับกับแอร์เอเชียเช็คอินมาก่อนเหอะ สะดวกกว่าจริงๆ

บนเครื่องบิน ข้าพเจ้านั่งคนเดียวทั้งแถว
ไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยว แต่รู้สึกดีมาก
พอกัปตันให้สัญญาณปลดเข็มขัดได้ปุ๊บ ข้าพเจ้านอนเหยียดยาวเลยจ้า
แถวข้างๆ มองดูด้วยความอิจฉา ถือว่าเป็นการปิดทริปที่ดีอีกจุดหนึ่ง



ปิดท้ายด้วย ของที่ซื้อมาเท่าที่ยังพอหลงเหลืออยู่
นอกนั้นแจกจ่ายชาวบ้านไปหมดแล้ว 
สำหรับค่าใช้จ่าย รอบนี้ลืมจด ตอนมาเขียนบล็อกก็ลืมไปหมดล่ะ
ขออภัยด้วยจ้ะ

ขอบคุณที่ตามอ่านมาจนถึงบล็อกนี้
เจอกันใหม่ ทริปหน้า :)
สวัสดี :)

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Kansai. I, You, We, There (3) ล่ากวางที่นารา

Day 04 : NARA

วันนี้เดอะแก๊งมีอันต้องแยกทาง
เพื่อนอีก 2 คนไปเที่ยวโซล
ส่วนเรายังคงเที่ยวอยู่ที่ญี่ปุ่นต่อไป

ตอนเช้าตื่นมาเช็คเอาท์ออกจากห้องเดิม เข้าสู่ห้องใหม่
ห้องใหม่เป็นห้องเตียงเดี่ยว ขนาดพอดีตัว
มีหน้าต่างให้ 1 บาน
ห้องก็สะอาดดี แต่ที่อยากติคือแอร์นี่แหละ ดูเก่าไปนิด ฝุ่นเกรอะเชียว
น่าจะล้างแอร์บ้างนะ



แยกทางกับเพื่อนที่สถานี Shinimamiya 
เราไปนารา อีก 2 คนไปสนามบินโอซาก้า

เรานั่งจากสถานี JR Shinimamiya ไปแค่ 36 นาทีก็ถึงสถานี JR NARA



ก่อนอื่นพอลงจากรถไฟปุ๊บ ก็ต้องซื้อตั๋วรถ 1 Day pass ก่อน
จะได้แผนที่รถบัสมาด้วยเลย




ที่จริงถ้าแค่จะไป Nara Park และวัด Todaiji และศาลเจ้า Kasuga ก็ไม่ต้องซื้อตั๋ว 1 Day pass ก็ได้

เพราะเรานั่งรถไปลงสวน Nara Park แล้วเดินต่อไปละแวกนั้นได้เลย
ตั๋วราคา 500 เยน ค่ารถเที่ยวละ 210 เยน

ดังนั้นถ้าเที่ยวแค่นี้ซื้อเป็นรายเที่ยวประหยัดกว่า


เราเริ่มต้นจากหน้าสถานี JR Nara ไปลงที่ป้ายวัด Kohfukuji
ซึ่งมันก็ตรงกับส่วนหนึ่งของสวนนาราปาร์คพอดี
พอลงรถมาก็เห็นคนเต็มเลย ตอนแรกสงสัยว่าคนมาทำไมเยอะแยะ
เลยถึงบางอ้อ เมื่อเดินไปใกล้ๆ
คนมาล่ากวางเหมือนกัน




เราก็แบบตื่นตาตื่นใจกับกวางมากเลย กวางมันดูเชื่องมาก
เข้าไปจับก็ได้ ลูบก็ได้
แต่ก็ไม่ใช่ว่ากวางทุกตัวจะใจดีนะ บางตัวมันก็ร้าย





บอกแล้วบางตัวกวางมันก็ร้าย
ถึงขนาดมีป้ายเตือนให้ระวังกวาง
อย่าให้ความน่ารักของมันมาหลอกเราได้ !



ที่ไหนมีกวางที่นั่นมีเซมเบ้ขาย

เซมเบ้กวางราคา 150 เยน มีไว้เป็นมนต์เรียกกวาง
กวางจะรัก กวางจะหลง และรุมทึ้ง



 ดูตามันสิคุ๊นนนนนนนนน

จะโหดร้ายไม่ซื้อให้มันก็จะใจดำเกินไป




แต่กวางไม่ได้น่ารักทุกตัว (ย้ำ) เพราะพอมันเห็นว่าเรามีขนมอยู่ในมือ
มันก็จะพุ่งตัวเข้ามาดึงเสื้อ
ใช้หัวชน เข้ามาล้อมกรอบเรา 
โอ..กวางมาเฟีย


พอรู้สึกว่าเริ่มเสียเวลากับกวางมากไปก็เสียเวลาไปร่วมชั่วโมงได้
เราก็เลยเดินไปวัด โคฟุคุจิกันดีกว่า



วัดนี้เราก็เฉยๆ ฮ่าๆ เพราะกวางน่าสนใจกว่า
แต่ที่ไกด์บุ๊คไม่ได้บอกคือหลังวัด ให้เดินลงบันไดไปจะเป็นช๊อปปิ้งสตรีทสายเล็กๆ มีของขาย(ที่เหมือนๆ กันทุกร้าน)



ที่เด็ดกว่าคือเจอร้าน TABI-JI เดินลงบันไดมา อยู่ตรงตึกตรงข้ามวัดเลย ร้านอยู่ชั้น 2
เป็นร้านรองเท้าที่ผลิตรองเท้าออกมาเหมือนทรงรองเท้านินจาของญี่ปุ่น 
ราคารองเท้าก็สูงเหมือนกัน
เหมือนจะเห็นเริ่มๆ ที่ 3-5000 เยน


แต่ว่า มันมีถุงเท้าด้วย ราคาคู่ละราวๆ 500 เยน (รวมภาษีแล้ว)
และลายมันน่ารักด้วย แถมเนื้อผ้าใส่ดีมากกกกกกกกก
จนอยากจะซื้อมาอีก มีแบบ 2 นิ้ว และแบบ 5 นิ้วด้วย
อิแบบ 5 นิ้วนี่คือนิ่มมาก แนะนำเลย เหมาะสำหรับซื้อเป็นของฝาก คือดีงาม
(ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีคนคิดว่าควรซื้อถุงเท้าเป็นของฝากแบบเรามั้ย ฮ่าๆ )

หรือถ้าไม่ซื้อฝากก็ซื้อมาใส่เองเหอะ เชียร์ร้านนี้ พนง.(หญิง) ก็น่ารักมาก ภาษาอังกฤษก็เริ่ด






แล้วก็เดินไปวัดโทไดจิก่อน โดยให้กูเกิ้ลแมพพาไป
ปรากฏว่า กูเกิ้ลพาอ้อมไปหลังวัดจ้าาาาาาาาา
หน้าวัดทำไมเอ็งไม่พาข้าไป พาข้าไปหลังวัดทำม๊ายยยยยย



วัดโทไดจิเป็นวัดมีชื่อ แล้วก็เป็นวัดที่ประดิษฐานหลวงพ่อโตที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
และมีอาคารหลักของวัดเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ก่อนไปเราก็คิดว่าจะแค่ไหน พระใหญ่แล้วไง อาคารไม้ใหญ่แล้วไง
พอไปเจอของจริงเข้าก็พบว่า อาคารใหญ่มากกกกกก
และสวยงาม
หลวงพ่อโต พระไดบุตสึก็ใหญ่มากกกกกกก สวยงาม
คุ้มค่าแก่การมา



พอเดินออกมาหน้าวัด ไปศาลเจ้าคาสุกะ
ที่จริงไม่รู้จัก เห็นมีในแผนที่ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วย แล้วเวลาเหลือเลยเดินไป


ระหว่างทางเดินก็เจอกวางดักซุ่มโจมตี

พอมาถึงศาลเจ้าก็โอเค สวยดี 


ส่วนป้ายขอพรก็เป็นรูปกวางเก๋ๆ 
ได้เซียมซีกวางมาด้วย น่ารักและเป็นภาษาอังกฤษ
ออกจากศาลเจ้ามาเดินไปขึ้นรถไปลงป้าย Tanaka-Cho


ไม่รู้จักอีก ว่าป้ายนี้มีดีอะไร
ก็มางั้นๆ ตามแผ่นพับ


เขาบอกว่า ที่นี่เป็นช๊อปปิ้งสตรีท ร้านรวงเก๋ๆ คาเฟ่ อะไรทำนองนี้


แต่ ไม่รู้ว่าเรามาค่ำ หรือมาตรงวันธรรมดา 
ไม่ค่อยเห็นมีร้านอะไรเปิดเลย 

แล้วแถวนั้นก็เป็นซอกซอยด้วยไง ใกล้ค่ำแล้วไง โครตน่ากลัวเมื่อเดินคนเดียว
เดินด้วยความโดดเดี่ยวมาก จู่ๆ ก็เจอเจอลุงคนนึงสวนมาก 
แล้วก่อนหน้านั้นมีข่าวว่า มีคนโรคจิตพ่นกาแฟใส่หน้าหญิงสาวที่โอซาก้า

อิชั้นก็กลัวไง 
ก็พยายามเดินเลี่ยง เหล่มองลุง เดินไปทางที่มีคน
ที่จริงลุงแกก็เดินเฉยๆ แหละ กลัวไปเอง ขอโทษลุงด้วยค่ะ 

เดินจนทะลุไปยังจุดตั้งต้น มืดค่ำพอดี 
ก็นั่งรถบัสกลับสถานีนารา รอรถไฟไปโอซาก้า


ปิดท้ายบล็อกวันนี้ด้วย Sento-kun มาสคอตประจำเมืองนาราจ้า

please continue reading part 4

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Kansai. I, You, We, There(2)

Have you read part (1) yet>>> Click

Day 03: KYOTO

เราว่าโอซาก้าเป็นเมืองที่ทำเลดีมากสำหรับการท่องเที่ยวแบบ 1 Day Trip 
เพราะว่าเมืองท่องเที่ยวดังๆ ทั้งหลายทั้ง 
- เกียวโต 
- นารา 
- โกเบ 

สามารถเดินทางจากโอซาก้าได้โดยใช้เวลาแค่ราว 1 ชั่วโมง


เราเดินทางจากโอซาก้าด้วยรถไฟ JR มาลงสถานีเกียวโต 
เลือกเดินทางด้วย JR เพราะง่ายที่สุด สะดวกที่สุด ต่อเดียวถึงเลย
ที่สถานีเกียวโตมีร้านขายข้าวกล่องด้วย เลยตัดสินใจว่าจะกินข้าวกล่องรถไฟเป็นอาหารเที่ยง
ได้อารมณ์ปิกนิกดี

ekiben มีหลายแบบ หลายราคา เลือกกันไม่ถูก

จากสถานีเกียวโตนั่งรถไฟต่อไปสถานี Inari เพื่อไปศาลเจ้าจิ้งจอก Fushimi Inari




เดินออกจากสถานีก็ถึงศาลเจ้าจิ้งจอกเลย ง่ายดีจัง


คนมากมายมหาศาล แถวโทริอิแดงก็เช่นเดียวกัน


ใช้เวลากับที่นี่ไปพอสมควร ทั้งๆ ที่ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากเสาโทริอิสีแดงนี่แหละนะ
ความจริงถ้าเราเดินเรื่อยๆ ตามเสาโทริอิ ก็จะสามารถเดินถึงยอดเขาได้ด้วย
แต่เรามีโปรแกรมต่อแบบแน่นเอี๊ยด เลยขออำลาศาลเจ้าจิ้งจอกแต่เพียงขั้นที่ 2 เท่านี้

แล้วนั่งรถไฟย้อนกลับมาที่สถานีเกียวโต ซื้อตั๋ว Kyoto City Bus 1 Day Pass 
ราคา 500 เยน 
ก็คิดว่าน่าจะคุ้มนะ เพราะราคาค่ารถที่เกียวโตเที่ยวละ 230 เยน ถ้าไปเกิน 1 ที่ก็น่าจะคุ้มอยู่

ซึ่งตอนไปซื้อตั๋วรถเค้าก็จะแจกแผนที่ให้เราด้วย เราก็ต้องใช้แผนที่นี่แหละคอยดูว่ารถบัสสายไหนผ่านจุดที่เราจะไปบ้าง ไม่งงนะ ทำแผนที่ได้ดีงามมาก เราขอชื่นชม

เกียวโตทาวเวอร์หน้าสถานีเกียวโต

สถานที่แรกคือ วัดคินคะคุจิ Kinkaku-ji หรือวัดทอง 
นั่งรถนานมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
นานจนอยากหลับ แต่จะหลับก็ไม่กล้า กลัวเลยป้ายไง 
แต่รถที่เกียวโตมีป้ายภาษาอังกฤษบอกด้วยนะ ไม่ต้องกลัวหลง
แต่เราเป็นนักท่องเที่ยวขี้ตื่่นไง ไม่นอนก็ได้ 


รถบัสสายที่กลับและออกจากสถานีเกียวโตคนจะแน่นมาก
ยิ่งตอนขากลับไปสถานีเกียวโตนะ แน่นยิ่งกว่านี้อีก



ไปถึงป้ายวัดทองปุ๊บ กินข้าวกล่องที่ซื้อมาก่อนเลยจ้ะ 
ขอแนะนำข้าวกล่องที่เรากิน เพราะงานกินเราจริงจังเสมอ :D

กล่องนี้ข้างในจะเป็นข้าวสามเหลี่ยมห่อด้วยใบไม้คล้ายๆ ใบจาก (แน่นอนล่ะว่าไม่ใช่ใบจาก)
ข้างในก็จะเป็นหน้ากุ้ง หน้าปลา และปลาแซลม่อน งานดี อร่อยมาก ขโมยเพื่อนกินหลายอันมาก



 ส่วนอีกกล่อง 






ด้านในกล่องเป็นข้าวหน้าปลาซะบะห่อด้วยใบพลับ อร่อย 
ทั้ง 2 กล่องราคาไม่ถึง 1 พันเยนนะ ประมาณ 700-900 เยนนี่แหละ จำราคาที่แน่นอนไม่ได้

กินเสร็จไปซื้อตั๋วเข้าวัดทอง เสียเงินกันอีกแล้ว



พอเห็นตั๋วที่ซื้อมา ตกใจเลยจ้า ใหญ่มาก

นี่ตั๋วเข้าชมหรือยันต์แปะฝาผนังอ่ะแก

ทุกวันนี้ยังแปะไว้บนหัวนอน รู้สึกดี อุ่นใจเหมือนมียันต์คุ้มภัยอยู่ในห้อง ฮ่าๆ



เสร็จแล้วก็ถือยันต์ อ๊ะ บัตรเข้าชมผ่านเข้าไปด้านใน
พอเดินเข้าไปก็ถึงจุดยอดนิยมเลย คือสระน้ำหน้าปราสาททอง
คนก็เยอะมากอีกเช่นเดียวกัน



ที่นี่ก็ต้องเดินตามทางที่กำหนดไว้ เริ่มจากมาชมปราสาททองก่อนแล้วก็เดินออกมาลัดเลาะชมสวนสวยจนวนออกมาที่ทางออกอีกด้านนึง 
พอออกจากวัดทอง ประเมินดูแล้วเราคงไปไหนกันไม่ทันแน่
ตัดทุกโปรแกรมออก ลัดไปโปรแกรมสุดท้ายวัดน้ำใส Kiyomizu กันเลย

ออกจากวัดทองเราก็ต่อรถไปวัดน้ำใส Kiyomizu ไม่ต้องจ่ายเงินเช่นเดิม เพราะใช้บัตร bus pass
ลงป้ายที่วัดน้ำใสแล้วต้องเดินขึ้นเนินไปอีกไกลมาก ตอนเราไปนี่ก็ 5 โมงแล้ว
ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็เดินลงมา มีแต่พวกเรานี่แหละเดินสวนขึ้นไป
ตลอดทางก็เป็นร้านรวง หลอกล่อให้เสียเงินมาก
แต่จุดมุ่งหมายของเราคือวัดน้ำใสก่อน เดี๋ยววัดปิด

พอขึ้นมาถึงสุดถนน เราก็มาเจอกับประตูและเจดีย์สีแดงนี้

อ้าว.. งง ทำไมหน้าตาไม่เหมือนกับในรูป ที่เราเห็นตามเน็ต

เลยเดินขึ้นไปก็เจอจุดที่สามารถมองเห็นได้ทั้งเมือง สวยดี


พอถ่ายรูปจุดนี้เสร็จก็งงต่อ
ไม่รู้จะไปทางไหนดีต่อ เห็นขบวนนักเรียนมาทัศนศึกษาก็เลยเดินตามเขาไปเลย
เจอจุดซื้อตั๋ว เสียเงิน (อีกแล้ว)
ถ้าจำไม่ผิดก็ราวๆ 300 เยน



























พอไปถึงด้านในปุ๊บ
ผ่าง! คนเยอะมากกกกกก



ทั้งนักเรียน และนักท่องเที่ยว
แต่ขอเมาส์ นักเรียนมัธยมที่มาทัศนศึกษาที่นี่แต่งหน้าจัดมาก ไม่มีที่ให้ความใสของวัยสาวเลยลูก



แล้วถ้าเคยอ่านรีวิววัด kiyomizu มาบ้าง ก็อาจจะเคยเห็นรูประเบียงวัดคิโยมิซึ
ซึ่งถ้าจะถ่ายรูปมุมนี้เราต้องเดินไปถ่ายที่ระเบียงทางเดินใกล้ๆ กัน

พอเราจะเดินไปถ่ายบ้าง
ผ่าง!



คนมากมายมหาศาล
เราก็คิดนะว่าถ้าเราเดินไป ระเบียงมันจะถล่มลงมารึเปล่าวะ แม้จะมั่นใจในมาตรฐานญี่ปุ่นก็เหอะ
แล้วเขาบังคับเดินทางเดียว
ถ้าเราไปทางระเบียงนี้เราก็ต้องเดินต่อไปจนสุด เดินสวนมาไม่ได้
จอย ซึ่งเป็น 1 ในผู้ร่วมทริปก็กลัวความสูง
ส่วนเราก็รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยของระเบียงตรงนั้น เลยไม่เข้าไปถ่ายแล้ว
ถ่ายอยู่ตรงปากทางก็ได้ เลยได้รูปมุมนี้มา



กับภาพเซลฟี่ :)



แล้วก็ลงเดินไปดื่มน้ำ 3 สายที่ศักดิ์สิทธิ์ว่ากันว่า จะได้รับพรทั้งเรื่องเรียน ความรัก และสุขภาพ



























คนต่อคิวเยอะพอสมควร ก็ยืนต่อไป 10 นาที
สายน้ำที่ 1 คือ ด้านการศึกษา
สายน้ำที่ 2 คือ ด้านความรัก
สายน้ำที่ 3 คือ ด้านสุขภาพ
แต่เราก็ไม่รู้ว่านับสายไหนเป็นสายที่ 1 นะ



























ออกจากวัดคิโยมิสึก็มืดพอดี เดินถนนสายช๊อปปิ้งที่ปิดเร็วมาก
คือปิดตามเวลาปิดของวัดนั่นแหละ


























ไอ้เราก็หิว ไม่รู้จะกินอะไรดี เลยได้ของกินหน้าตาแบบนี้มา



อร่อยมากอ่ะ อุ๊บ..ขออภัยคุณป้าด้วยที่โดยปิดหน้าด้วยของกิน

ไม้เดียวเติมพลังกันจนได้ที่ก็เดินไปขึ้นรถบัสกลับสถานีเกียวโต
ไปถึง 1 ทุ่มมีการแสดงน้ำพุหน้าสถานีเกียวโตพอดี



แล้วก็ยืนจนไปถึงสถานีโอซาก้าเพราะคนกลับขบวนนี้เยอะมาก ทั้งนักท่องเที่ยวและคนทำงาน
พอถึงโอซาก้าก็ช๊อปกระจายที่ดองกี้ เพราะ 2 สาวร่วมก๊วนจะเดินทางไปเที่ยวโซลพรุ่งนี้แล้ว


please continue reading part 3.