ปีที่แล้วบังเอิญไปเจอรูปกำแพงเมืองจีนที่ยื่นไปบรรจบกับน้ำทะเล ส่วนนั้นคนจีนเรียกว่า Lao Long Tou ส่วนฝรั่งเรียก Old Dragon's Head ส่วนเราเรียกหัวมังกรเฒ่าแห่งกำแพงเมืองจีน
ความรู้สึกนั้นคือ คูลมากๆ ค่ะ ถ้าจะไปจีนทั้งทีแค่กำแพงอย่างเดียวมันยังมีแรงดึงดูดไม่พอ มันต้องไปส่วนหัวด้วย และเหตุผลแค่นี้แหละที่ทำให้อยากไปจีนตงิดๆ แต่ต้องทดในใจไว้ก่อน
ดังนั้นพอสบโอกาส อินี่ก็ยื่นโครงการและจองตั๋วไปปักกิ่งเลยจ้ะ เบ็ดเสร็จ 5 วัน 4 คืน
และจากประสบการณ์ส่วนตัว เมืองจีนที่เขาคนไหนเล่าลือกันนั้น ผิดจากปักกิ่งที่ข้าพเจ้าพบเจอมาเลยจ้า
เพราะสิ่งที่ได้เจอคือ
- ปักกิ่งสะอาดมากกว่ากรุงเทพ ขยะสักชิ้นแทบไม่เจอ
- การคมนาคมที่ปักกิ่งสะดวกสบายกว่ากรุงเทพ
- ห้องน้ำส่วนใหญ่พัฒนาแล้ว มีแบบจีนและแบบตะวันตก แต่เนื่องจากนักท่องเที่ยวเยอะ มันก็เลยอาจจะมีไม่สะอาดบ้าง มีกลิ่นบ้าง แต่โดยรวมก็ไม่ต่างอะไรจากสถานที่ท่องเที่ยวที่คนเยอะๆ ที่อื่น (แบบห้องน้ำหมอชิตช่วงเทศกาลอ่ะ) และพกทิชชู่เปียก-แห้งติดตัวไว้จะดีมาก
- คนไม่ได้โหวกเหวกโวยวายอย่างที่คิดเลย (แต่ที่สนามบินขากลับพอพ้นเขต ตม.จีน พี่แกก็แสดงอิทธิฤทธิ์เลยจ้า)
เดินทาง 27 พ.ค - 1 มิ.ย 60
ต่อไปนี้คือการไปเมืองจีนแผ่นดินใหญ่ครั้งแรก ของหญิงไทยเชื้อสายจีน ผู้ที่พูดจีนไม่ได้* ฟังไม่ออกและรู้จักศัพท์เป็นบางคำแค่นั้นเอง
*ปัจฉิมลิขิต ๑ ภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยจะได้เช่นเดียวกัน
Day 00- May 27, 2017
ออกเดินทางจากสุวรรณภูมิด้วยสายการบินการบินไทย รักคุณเท่าฟ้า
ตั๋วไปปักกิ่งของการบินไทยจะอยู่ที่ราวๆ 12-13,xxx บาท (บิน 4.40 hr) แต่ถ้าเป็นสายการบินจีนต้องไปต่อเครื่องก็จะราวๆ 7-8000 แต่ใช้เวลาต่างกันครึ่งต่อครึ่ง
แต่เที่ยวนี้ดีเลย์ เลยได้ออกจริงๆ ก็เกือบตี 1 หลับไม่รู้เรื่องตื่นมาอีกทีปักกิ่งเลยจ้า
มาถึงสนามบินปักกิ่งเราก็จะกังวลหน่อยๆ เพราะยังเกรงๆ กับคำว่าประเทศคอมมิวนิสต์อยู่
แต่พอลองมาเที่ยวก็เห็นว่าเหมือนบ้านเรานี่แหละ การคมนาคมก็ดี ถนนหนทางสะอาดมากกว่ากรุงเทพเสียอีก มีเลนจักรยานต่างหากข้างละเลน แล้วเป็นเลนใหญ่ด้วยนะ Subway เอย รถเมล์รถบัสเอย แสนจะสะดวก
บอกในฐานะนักท่องเที่ยวว่า ปักกิ่งเที่ยวสะดวกมาก
แต่เพื่อนที่ไปอาศัยอยู่ปักกิ่งก็เล่าว่าความเจริญมันก็กระจุกอยู่แค่ที่ปักกิ่งนี่แหละ ถึงอย่างนั้นปักกิ่งก็สร้างความประทับใจให้เราพอสมควรเลย
แต่พอลองมาเที่ยวก็เห็นว่าเหมือนบ้านเรานี่แหละ การคมนาคมก็ดี ถนนหนทางสะอาดมากกว่ากรุงเทพเสียอีก มีเลนจักรยานต่างหากข้างละเลน แล้วเป็นเลนใหญ่ด้วยนะ Subway เอย รถเมล์รถบัสเอย แสนจะสะดวก
บอกในฐานะนักท่องเที่ยวว่า ปักกิ่งเที่ยวสะดวกมาก
แต่เพื่อนที่ไปอาศัยอยู่ปักกิ่งก็เล่าว่าความเจริญมันก็กระจุกอยู่แค่ที่ปักกิ่งนี่แหละ ถึงอย่างนั้นปักกิ่งก็สร้างความประทับใจให้เราพอสมควรเลย
วิธีเดินทางจากสนามบินเข้าตัวเมืองปักกิ่งมี 2 วิธีคือนั่ง AE (Airport Express) ไปต่อ Subway หรือนั่งรถบัสไปตามจุดจอดต่างๆ แต่ก่อนอื่นขอแนะนำให้ซื้อบัตร อี้ข่าถ่ง หรือบัตร IC Card บัตรสารพัดประโยชน์ที่จะทำให้การขึ้นลงรถเมล์หรือซับเวย์ของเราง่ายขึ้น ซื้อและคืนบัตรได้ที่เคาเตอร์ AE ที่สนามบินเลยสะดวกมาก บัตรอี้ข่าถงราคา 100 หยวน (เป็นมัดจำ 20 หยวน) 5 วันในปักกิ่งเราใช้พอดีไม่ต้องเติมเงินเพิ่ม ถือว่าค่าเดินทางในปักกิ่งไม่แพงเลย
ไปถึง Beijing Railway Station นี่ก็ต้องตะลึงกับจำนวนคนมากมายมหาศาล แล้วก็ไปแลกตั๋วด้านใน Ticket Office เนื่องจากเราจองตั๋วจากเวป Ctrip เอาไว้แล้ว ไปถึงก็แค่ยื่นหมายเลขการจองกับพาสปอร์ตเป็นอันเสร็จสิ้น แต่ระหว่างนั้นก็มีพี่จีนคอยเนียนๆ เข้ามาแซงคิวตลอด
* สำหรับคนที่จะเดินทางในจีนและใช้บริการรถไฟเราแนะนำว่าจองตั๋วจากเอเจนซี่ไปก่อนจะดีกว่า ตัดปัญหาเรื่องตั๋วเต็ม การสื่อสาร และป้องกันการจองผิดสถานี แต่ทั้งนี้ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาพอสมควร
ได้ตั๋วแล้ว เราก็ไปโรงแรม
พักที่ Pentahotel Beijing ด้วยเหตุผลว่าติดกับรถไฟใต้ดิน
ราคาคืนละ 3,300 บาท รวมภาษีและอาหารเช้า ชอบที่นี่มาก
สะอาด ห้องกว้างขวาง พนักงานดี ที่สำคัญอาหารเช้าอร่อย หลากหลาย เลิฟที่นี่ค่ะ 💛💛
มื้อเที่ยง กินใต้โรงแรม ที่นี่มีก๋วยเตี๋ยวขายช่วงบ่ายกับเย็นๆ จนถึงค่ำ
เมนูที่สั่งคือก๋วยเตี๋ยวเนื้อ (อร่อย ชามโครตใหญ่) และ ก๋วยเตี๋ยวปักกิ่ง ใช่ค่ะ..
นอกจากเป็ดปักกิ่งแล้วที่นี่ยังมีก๋วยเตี๋ยวปักกิ่งด้วย! รสชาติประหลาดๆ บอกไม่ถูก แต่กินได้เหมือนใส่เต้าเจี้ยวหรือเต้าหู้ยี้ (หรือเต้าหู้เหม็น) เออมันก็แปลกๆ ดี (แต่ถ้าให้สั่งอีกคงไม่เอาอ่ะ ก๋วยเตี๋ยวเนื้ออร่อยกว่า)
ตอนบ่ายไป Summer Palace พระราชวังฤดูร้อน จะซื้อตั๋วเหมา คุณน้าคนขายไม่ขายให้ ทำนองว่าแกเข้าไม่หมดหรอก (เราไปถึงตอนบ่าย2) ซึ่งก็จริง เราเหนื่อยจากการเดินทางมาพอสมควรแล้วเลยแค่เดินชมริมทะเลสาบเท่านั้นเอง
ตอนบ่ายอากาศก็ร้อนมากสมเป็นพระราชวังฤดูร้อน แล้วก็ไกลมาก (45 นาทีในรถไฟใต้ดิน)
กิจกรรมยอดฮิตและอยากให้ลองคือ ปั่นเรือ เราไม่ได้ปั่นเพราะเรือเล็กต้องรอคิวอีกนาน เลยบ๊ายบายโปรแกรมนี้ และที่จริงควรจะเดินเข้าตำหนักบ้าง แต่เหนื่อยแล้วจริงๆ เลย นั่ง subway กลับเข้าเมือง
ตลาดน้ำซูโจว ถ้ามาฤดูหนาวจะเป็นน้ำแข็ง |
สมมติตนเองเป็นข้าราชบริพารในวัง นั่งเรือมังกรตามเสด็จ |
ปั่นเรือรอบทะเลสาบคุนหมิง คูลมากๆ |
เรือหินอ่อนของพระนางชูสีไทเฮา |
อารมณ์แบบสนามหลวงบ้านเรา อยู่ตรงข้ามกับพระราชวังต้องห้าม ด้านหน้ามีรูปท่านเหมา เจ๋อ ตุง เป็นจัตุรัสที่เกิดเหตุการณ์สำคัญต่างๆ มากมาย
รอบๆ มีสถานที่สำคัญหลายแห่ง ควรมาเพื่อถ่ายรูปกับท่านเหมา เพื่อให้รู้สึกว่าได้มาปักกิ่งแล้ว
ตอนเช้าและเย็นมีพิธีเชิญธงชาติจีนแต่ไม่มีเวลาแน่นอนเพราะทำกันตามเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและตก
อย่างวันนี้ตอนเย็นๆ ก็มีครอบครัวพาเด็กๆ มาเดินเล่น หรือบางคนน่าจะรอดูพิธีเชิญธงชาติ ส่วนเราขี้เกียจรอเลยกลับโรงแรมหาอะไรกินดีกว่า
Day 2- May 29, 2017
เดินทางตามหาหัวมังกรเฒ่า Old Dragon's Head
รถไฟออกจาก Beijing Railway Staion เวลา 7:13 นาทีเป๊ะๆ
แต่ควรมาถึงก่อนสักครึ่งชม. (กรณีมีตั๋วแล้ว) เพราะกว่าจะผ่านพิธีการตรวจด้านความปลอดภัยและหาชานชาลา (ก่อนเข้าชานชาลาก็ตรวจอีกที) ก็ใช้เวลาไปร่วม 10 นาทีกว่าๆ แล้ว
เราเลือกนั่งรถไฟขบวน D21 ซึ่งขบวน D จะเป็นรถไฟที่มีความเร็วเป็นอันดับสอง ก็ยังใช้เวลาร่วม 2 ชั่วโมงกว่า กว่าจะถึง Shanhaiguan (รถไฟปกติใช้เวลา 6 ชม.)
มาถึงเมือง Shanhaiguan ฝนตกจ้า ตกหนักด้วย ตกหนักจนเกรงว่าจะเที่ยวไม่ได้ สุดท้ายก็ตัดสินใจซื้อร่มกับเสื้อกันฝนเที่ยว
เมือง Shanhaiguan เป็นเมืองที่่ติดริมทะเล เป็นที่ตั้งของกำแพงเมืองจีนหลายด่าน แต่หลายๆ ด่านอยู่ไกลออกไปนอกเมืองต้องนั่งแท็กซี่หรือเหมาไป แต่ก็มีบางด่านที่ใกล้มากๆ และเที่ยวได้ด้วยใช้บริการรถเมล์ อย่างที่เราจะไปคือ ด่าน Lao Long Tou หรือ Old Dragon's Head นั่งรถสาย 25 จากหน้าสถานีรถไฟได้เลย ค่ารถ 1 หยวน
ถ้ามีอินเตอร์เน็ตชีวิตจะดี เพราะจะรู้ว่าต้องลงตรงไหน
ถ้าไม่มี ให้บอกกระเป๋ารถเมล์หรือคนขับว่า เหล่า หลง โถว เขาก็จะจอดให้ นั่งไม่นานราวๆ 10 นาทีก็ถึง
ลงป้าย Old Dragon's Head แล้วเดินต่อไปนิดนึง
ด้านหน้าเป็นพิพิธภัณฑ์ ถ้าไม่เข้าเหมือนเราก็เดินอ้อมไปด้านหลังตรงไปซื้อตั๋วเข้าไปชมหัวมังกรเฒ่ากันเลย
พอซื้อตั๋วเสร็จ ฝนก็ตกกระหน่ำมาไม่หยุดเลยจ้า ด้วยความที่ติดทะเลทำให้ยิ่งมีลมทะเลมาเพิ่มความหนาวอีก ทรมานมาก แต่ในที่สุดแล้วเราก็ได้เห็นหัวมังกรเฒ่าสมใจ Mission Complete 🎆🎆
บางคนไปต่อไม่ไหวยอมปีนข้ามกำแพงกลับก็มี
ความยากไม่ได้อยู่ที่สามารถไปถึงตรงกลาง แต่ต้องหาทางออกมาให้ได้ด้วย บางคนไปถึงตรงกลางได้แต่หาทางกลับไม่ได้ เสียเวลาตั้งนาน
จากนั้นเดินกลับมาขึ้นรถเมล์ ป้ายขากลับก็อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับป้ายที่เราลง นั่งรถเมล์สายเดิมเลย
ทีนี้ก่อนถึงสถานีรถไฟจะมีป้ายชื่อ เทียนเซียนอี้ตี้กวน ถ้าไปไม่ถูก บอกคนขับกับกระเป๋ารถเมล์เลยจ้า
ขากลับก็ราคา 1 หยวน
เทียนเซียนอี้ตี้กวน หรือด่านที่หนึ่งในใต้หล้า นอกจากจะเป็นกำแพงเมืองจีนแล้วยังมีหมู่บ้านโบราณ
แต่ว่าฝนตกหนัก (มาก) เราเลยเสียสละโปรแกรมหมู่บ้านโบราณ (ที่ทำใหม่) ไปแล้วเดินเล่นบนกำแพงเมืองอย่างเดียว จากนั้นก็เดินกลับมาที่สถานีรถไฟ รอรถไฟกลับปักกิ่ง ถึงปักกิ่งก็มืดพอดี
Day 03- May 30, 2017
วันนี้เราจะเข้าวัง พระราชวังต้องห้าม Forbidden City นั่นเอง
ข้อควรทราบคือ การจะซื้อตั๋วเข้าวังต้องห้ามต้องใช้พาสปอร์ตในการซื้อด้วย อีกอย่างที่แนะนำคือ Audio Guide ก็ควรเช่าเพื่อเพิ่มอรรถรสในการชม
เราเน้นเดินทะลุจากด้านหน้าตรงเข้าสู่เขตพระราชฐานชั้นในเดินเป็นเส้นตรงออกประตูหลัง ที่จริงก็ควรจะโฉบไปด้านข้างเพื่อไปดูตำหนักสนมนางในบ้าง แต่เริ่มเมื่อย (อีกแล้ว) เลยเดินทะลุออกด้านหลังเลย แวะกินข้าวสักเล็กน้อยแล้วเดินต่อไปสวนจิงซาน (Jingshan Park) เดินขึ้นเขา ( 1 หอบเล็กๆ) เพื่อไปดูพระราชวังต้องห้ามในมุมสูง
กว้างมากกกกกกกกกกกกกกกก มีตำหนักเล็กตำหนักน้อยมากมาย
จากสวนจิงซานเดินต่อไปยังหอกลองกับหอระฆัง (Bell and Drum Tower)
ที่หอกลองจะมีการแสดงตีกลองแบบโบราณชั่วโมงละครั้ง
แล้วก็เดินทะลุซอกซอยของหู ท่ง ซึ่งก็คือบ้านโบราณของคนจีนและตอนนี้ก็ยังมีคนอาศัยบ้าง บางหลังดัดแปลงเป็นโรงแรม (ซึ่งถ้าได้มาอีกอยากจะลองมาพักในหูท่งนี่บ้าง น่าจะเก๋อยู่ไม่น้อย) ที่กระจุกตัวอยู่แถวหอระฆังและหอกลอง และตรงบริเวณรถไฟใต้ดินสถานี Nanluoguxiang ก็ดัดแปลงเป็นร้านค้ากิ๊บเก๋ออกแนวๆ วัยรุ่น
Day 4 - May 31, 2017
Great Wall of China
หลังจากไปดูหัวมังกรมาแล้ว เราจะไปดูตัวมังกรด้วย จากปักกิ่งสามารถไปได้หลายด่าน แต่ด่านที่ไปง่ายและฮิตที่สุดคงหนีไม่พ้นด่านปาต้าหลิง (Badaling Great Wall) สามารถเลือกขึ้นรถบัสไปด่านนี้ได้ 2 สายคือ สาย 877 กับ 919 ขึ้นได้ที่ป้อมเต๋อเชิงเหมิน (Deshengmen) จากสถานี Jishuitan ซึ่ง 2 สายนี้จะลงคนละจุดแต่ใกล้ๆ กัน
จากการกลั่นกรองข้อมูลที่อ่านมาสรุปได้ว่า
จากการกลั่นกรองข้อมูลที่อ่านมาสรุปได้ว่า
สาย 919 จะลงใกล้กับจุดเคเบิ้ลคาร์
ส่วนสาย 885 จะลงใกล้กับจุดสไลด์คาร์
ระหว่างที่ลังเลว่าจะขึ้นรถสายไหน เราก็เลือกตามคนหมู่มากขึ้น 877 ไปเลย
รถบัสให้ขึ้นตามจำนวนที่นั่ง ลงอีกทีก็ที่ด่านปาต้าหลิงเลย จะจ่ายเงินสดหรือบัตรอี้ข่าถ่งก็ได้ สะดวกดี บนรถมีไกด์ 1 คนและ รปภ. 1 คนแถมมาด้วย หลับๆ ตื่นๆ ปกติวิ่งประมาณ 1.30 ชม (แต่ของเราเจอช่วงซ่อมถนน รถติดเลยใช้เวลาไปสองชั่วโมงครึ่ง)
ระหว่างทางจะผ่านด่านจูหย่งก่วน (Juyongguan) แต่ด่านนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยม แต่ก็ใกล้กว่าด่านปาต้าหลิงครึ่งต่อครึ่ง
พอลงจากรถมันก็จะงงๆ หน่อย แต่อาศัยเดินตามคนไปเรื่อยๆ เขาต่อแถวซื้อตั๋วสไลด์คาร์เราก็ซื้อด้วย แต่เราเลือกนั่งรถขึ้นและเดินลง
ก็เดินตามคนไปจนผ่านสวนหมี
หมีฮ่าว แฮ่! 🐻
แล้วสไลด์คาร์จะค่อยๆ นำท่านขึ้นสู่กำแพงเมืองจีนอย่างช้าๆ
แนะนำว่า ไม่ควรเดินขึ้นและเดินลง เพราะเหนื่อยมาก
นั่งสไลด์คาร์/เคเบิ้ลคาร์แล้วค่อยเดินลงดีกว่า (หรือจะเลือก 2 ขาเลยก็ไม่ว่า)
เพราะแค่นี้ก็เหนื่อยมากแล้ว
ถ้าจะเดินลง ทางลงอยู่ป้อม 11 นะคะ (บอกไว้จะได้มีกำลังใจเดิน) และด่านนี้สุดแค่ป้อม 12 เท่านั้นเอง
แต่นี่เดินมาจากป้อม 4 คร่าาาาาาาาาาา
(ที่จริงมีทางลัดเป็นทางลง จนท. จะอยู่แถวๆ เคเบิ้ลคาร์ ถ้าหาเจอจะใกล้กว่า แต่เราหาไม่เจอไง ฟ๊ากกกกกก)
ตอนเราไปเดิน เราไม่รู้ว่าทางลงอยู่ป้อมไหน เดินไปเรื่อยๆ เหมือนไร้จุดหมาย คิดว่าคงต้องค้างคืนอยู่บนกำแพงเสียแล้วมั้งเรา ชีวิตโครตเศร้า ฮ่าๆ (เศร้าที่ถ้าเดินผิดนี่เราต้องเดินย้อนกลับทางเก่ามั้ย)
กำแพงเมืองจีนสมกับคำว่า Great Wall จริงๆ มันไม่ได้สวยงามนะ แต่การมองเห็นแนวกำแพงไล่ไปตามไหล่เขายาวสุดลูกหูลูกตานี่ก็นับว่าอัศจรรย์มาก ถึงประวัติศาสตร์มันจะเต็มไปด้วยเลือดเนื้อ หยาดเหงื่อคราบน้ำตาและซากศพก็เหอะ แต่ว่าตอนนี้ก็สร้างเม็ดเงินมหาศาลให้กับเมืองจีนละนะ
อยากให้มากัน เพราะมาง่ายมาก ปักกิ่งเที่ยวไม่ยากเลย เขาอำนวยความสะดวกกับนักท่องเที่ยวจริงๆ
ขากลับเดินตามป้ายนั่ง 877 กลับเข้าปักกิ่งเหมือนเดิม ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ที่ด่านปาต้าหลิง (ออกเดินทางประมาณ 9 โมงกลับถึงปักกิ่ง 4 โมงเย็น)
และในคืนสุดท้ายที่ปักกิ่ง เราต้องลอง เป็ดปักกิ่ง 🐔
มีหลายร้านให้ลอง หาเลือกได้จาก Tripadvisor
ส่วนเราเลือกไปที่ร้าน Quanjude ที่ถนน Qianmen
ตอนแรกนึกว่าร้านธรรมดา ที่ไหนได้ ภัตตาคารเลยจ้า
เป็ดเฉยๆ ราคาประมาณ 250 หยวน ถ้าเอาแป้งห่อด้วยก็ 290 หยวน (มี service charge อีก 10% นะ)
มีเมนูภาษาอังกฤษและพนักงานพูดภาษาอังกฤษได้
โต๊ะไหนสั่งเป็ดปักกิ่ง เขาก็จะเข็นเป็ดมาแล่ให้ดูที่โต๊ะเลย
เอาจริงๆ ไม่อวย รสชาติก็โอเคนะมันก็คือเป็ดย่างนั่นแหละ
แต่น้ำจิ้มบ้านเราเด็ดกว่า (อันนี้เป็นซอสหวานอย่างเดียว)
เขาจะแล่หนังกรอบให้ก่อน แล้วค่อยแล่เนื้อให้กิน
มาถึงปักกิ่งแล้วก็กินให้สมกับมาปักกิ่งหน่อย หมดไป 400 หยวนเบาๆ สำหรับเป็ด 1 ตัว ผัดผัก 1 จานและโค้ก 1 ขวด
ปักกิ่งวันสุดท้าย เครื่องจะออก 5 โมง
ตอนเช้าเราเลยมีเวลาไปหอบูชาฟ้า หรือ หอสักการะฟ้าเทียนถาน (Temple of Heaven) แนะนำให้ซื้อตั๋วเข้าแบบรวมเลย ถ้าซื้อแยกแพง
ใช้เวลาที่นี่จนถึงเที่ยง ก่อนที่จะหาอะไรกินแล้วกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรม
ขากลับนั่ง Airport Express กลับสนามบินปักกิ่ง เงินในบัตรอี้ข่าถ่งขาดอีกนิดหน่อย เลยซื้อตั๋วเที่ยวเดียวเอา
ที่สนามบินหลังจากผ่าน ตม.แล้ว มีร้าน Duty Free พอสมควร ไม่มากแต่ก็พอจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือกลับมาฝากคนที่บ้านได้พอสมควร
กลับแล้วนะปักกิ่ง แล้วเจอกันใหม่
再见! Zai Jian!
ส่วนสาย 885 จะลงใกล้กับจุดสไลด์คาร์
ระหว่างที่ลังเลว่าจะขึ้นรถสายไหน เราก็เลือกตามคนหมู่มากขึ้น 877 ไปเลย
รถบัสให้ขึ้นตามจำนวนที่นั่ง ลงอีกทีก็ที่ด่านปาต้าหลิงเลย จะจ่ายเงินสดหรือบัตรอี้ข่าถ่งก็ได้ สะดวกดี บนรถมีไกด์ 1 คนและ รปภ. 1 คนแถมมาด้วย หลับๆ ตื่นๆ ปกติวิ่งประมาณ 1.30 ชม (แต่ของเราเจอช่วงซ่อมถนน รถติดเลยใช้เวลาไปสองชั่วโมงครึ่ง)
ระหว่างทางจะผ่านด่านจูหย่งก่วน (Juyongguan) แต่ด่านนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยม แต่ก็ใกล้กว่าด่านปาต้าหลิงครึ่งต่อครึ่ง
พอลงจากรถมันก็จะงงๆ หน่อย แต่อาศัยเดินตามคนไปเรื่อยๆ เขาต่อแถวซื้อตั๋วสไลด์คาร์เราก็ซื้อด้วย แต่เราเลือกนั่งรถขึ้นและเดินลง
ก็เดินตามคนไปจนผ่านสวนหมี
หมีฮ่าว แฮ่! 🐻
แล้วสไลด์คาร์จะค่อยๆ นำท่านขึ้นสู่กำแพงเมืองจีนอย่างช้าๆ
แนะนำว่า ไม่ควรเดินขึ้นและเดินลง เพราะเหนื่อยมาก
นั่งสไลด์คาร์/เคเบิ้ลคาร์แล้วค่อยเดินลงดีกว่า (หรือจะเลือก 2 ขาเลยก็ไม่ว่า)
เพราะแค่นี้ก็เหนื่อยมากแล้ว
ถ้าจะเดินลง ทางลงอยู่ป้อม 11 นะคะ (บอกไว้จะได้มีกำลังใจเดิน) และด่านนี้สุดแค่ป้อม 12 เท่านั้นเอง
แต่นี่เดินมาจากป้อม 4 คร่าาาาาาาาาาา
(ที่จริงมีทางลัดเป็นทางลง จนท. จะอยู่แถวๆ เคเบิ้ลคาร์ ถ้าหาเจอจะใกล้กว่า แต่เราหาไม่เจอไง ฟ๊ากกกกกก)
ตอนเราไปเดิน เราไม่รู้ว่าทางลงอยู่ป้อมไหน เดินไปเรื่อยๆ เหมือนไร้จุดหมาย คิดว่าคงต้องค้างคืนอยู่บนกำแพงเสียแล้วมั้งเรา ชีวิตโครตเศร้า ฮ่าๆ (เศร้าที่ถ้าเดินผิดนี่เราต้องเดินย้อนกลับทางเก่ามั้ย)
จุดที่ใกล้ๆ สไลด์คาร์กับเคเบิ้ลคาร์ก็จะมีความหนาแน่นเป็นพิเศษ |
บางจุดความชันแบบทิ้งดิ่งเลยจ้า |
กำแพงเมืองจีนสมกับคำว่า Great Wall จริงๆ มันไม่ได้สวยงามนะ แต่การมองเห็นแนวกำแพงไล่ไปตามไหล่เขายาวสุดลูกหูลูกตานี่ก็นับว่าอัศจรรย์มาก ถึงประวัติศาสตร์มันจะเต็มไปด้วยเลือดเนื้อ หยาดเหงื่อคราบน้ำตาและซากศพก็เหอะ แต่ว่าตอนนี้ก็สร้างเม็ดเงินมหาศาลให้กับเมืองจีนละนะ
อยากให้มากัน เพราะมาง่ายมาก ปักกิ่งเที่ยวไม่ยากเลย เขาอำนวยความสะดวกกับนักท่องเที่ยวจริงๆ
ขากลับเดินตามป้ายนั่ง 877 กลับเข้าปักกิ่งเหมือนเดิม ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ที่ด่านปาต้าหลิง (ออกเดินทางประมาณ 9 โมงกลับถึงปักกิ่ง 4 โมงเย็น)
และในคืนสุดท้ายที่ปักกิ่ง เราต้องลอง เป็ดปักกิ่ง 🐔
มีหลายร้านให้ลอง หาเลือกได้จาก Tripadvisor
ส่วนเราเลือกไปที่ร้าน Quanjude ที่ถนน Qianmen
ตอนแรกนึกว่าร้านธรรมดา ที่ไหนได้ ภัตตาคารเลยจ้า
เป็ดเฉยๆ ราคาประมาณ 250 หยวน ถ้าเอาแป้งห่อด้วยก็ 290 หยวน (มี service charge อีก 10% นะ)
มีเมนูภาษาอังกฤษและพนักงานพูดภาษาอังกฤษได้
โต๊ะไหนสั่งเป็ดปักกิ่ง เขาก็จะเข็นเป็ดมาแล่ให้ดูที่โต๊ะเลย
เอาจริงๆ ไม่อวย รสชาติก็โอเคนะมันก็คือเป็ดย่างนั่นแหละ
แต่น้ำจิ้มบ้านเราเด็ดกว่า (อันนี้เป็นซอสหวานอย่างเดียว)
เขาจะแล่หนังกรอบให้ก่อน แล้วค่อยแล่เนื้อให้กิน
มาถึงปักกิ่งแล้วก็กินให้สมกับมาปักกิ่งหน่อย หมดไป 400 หยวนเบาๆ สำหรับเป็ด 1 ตัว ผัดผัก 1 จานและโค้ก 1 ขวด
Day 5- June 1, 2017
ปักกิ่งวันสุดท้าย เครื่องจะออก 5 โมง
ความรู้ที่ได้จากปักกิ่งคือ ยิ่งมีสัตว์เยอะๆ บนหลังคา ยิ่งแสดงว่าอาคารหลังนั้นสำคัญ |
ขากลับนั่ง Airport Express กลับสนามบินปักกิ่ง เงินในบัตรอี้ข่าถ่งขาดอีกนิดหน่อย เลยซื้อตั๋วเที่ยวเดียวเอา
ที่สนามบินหลังจากผ่าน ตม.แล้ว มีร้าน Duty Free พอสมควร ไม่มากแต่ก็พอจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือกลับมาฝากคนที่บ้านได้พอสมควร
กลับแล้วนะปักกิ่ง แล้วเจอกันใหม่
再见! Zai Jian!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น