10 June 2016
ปารีสวันที่ 3
เริ่มต้นวันดีๆ ด้วยการเก็บของลงกระเป๋า เช็คเอาท์ แล้วลากกระเป๋าลงบันไดเวียนแคบๆ ลงมาอย่างระมัดระวัง
ก่อนหน้านี้มีผู้หญิงคนนึง ลากกระเป๋าเดินตกบันไดเวียนของที่พักหล่นตุ้บลงมาอยู่ด้านล่างเรียบร้อยแล้ว
นี่ก็อยู่ชั้นบนมองลงมาเห็นเหตุการณ์นะ แต่ก็หลบและทำเป็นมองไม่เห็น กลัวเธออาย
หลังจากยัดร่างกับกระเป๋าใบโตลงเมโทรที่โชคดีวันนี้คนไม่เยอะเท่าเมื่อวานได้ ก็ไปถึงโรงแรมที่ใหม่เกือบๆ 10 โมง แต่ยังเข้าห้องพักไม่ได้ เลยฝากของไว้ก่อนแล้วค่อยเข้ามาใหม่ คุณป้าที่รับเรื่องไว้แกดูเป็นคนเฮฮาดี ผิดจากคำบอกเล่าที่ว่าชาวปารีเซียงนั้นช่างเย็นชาลิบลับ
เนื่องจากเมื่อวานตั้งเป้าอะไรไว้ก็ไม่ได้ดู วันนี้เลยเป็นการซ่อมทริปเมื่อวานเกือบทั้งหมด
เริ่มจากต้องไปถ่ายรูปกับหอไอเฟล เดี๋ยวคนจะหาว่ามาไม่ถึงปารีสของจริง
นี่ไปลงที่สถานี Trocadero เขาบอกว่าถ่ายรูปจากตรงนี้สวยดี
แต่บังเอิญว่าช่วงนี้มีซ่อมแซมอะไรสักอย่าง เลยถ่ายได้แค่มุมเดียว
จากสถานีนี้ก็นั่งเมโทรต่อไปประตูชัยได้เลย
บัตรมิวเซียมพาสขึ้นประตูชัยได้อีกแล้วเหมือนกัน ก่อนขึ้นประตูก็มีการตรวจกระเป๋าอะไรเล็กน้อยเหมือนเดิม คนตรวจกระเป๋าที่ปารีสกับที่ไทยน่าจะจบหลักสูตรเดียวกันมา เปิดกระเป๋า ไฟส่อง เอ๊า..ผ่าน
จะขึ้นประตูชัยมีทางเดียวคือเดินขึ้นบันไดเวียนแคบๆ 248 ขั้นอย่างเดียวเท่านั้น มีจุดพักให้แค่ 2 แห่ง เดินขึ้นไปถึงชั้นบนเสร็จหอบเป็นหมาหอบแดดเลยจ้า
แต่นี่คิดว่าวิวที่ประตูชัยสวยดี ไม่สูงหรือต่ำไป เป็นวิวแบบเปิดโล่ง มองเห็นหอไอเฟลและวิหารซาเคร์เกอร์ (Sacre-Coeur) อยู่ไกลๆ และภาพที่ถนนทุกสายวิ่งสู่ประตูชัยนั้นมองได้เพลินดี
น่าเสียดายนิดนึงที่วันนี้เมฆครึ้ม ฟ้าไม่สวยเลย แต่โชคดีที่ฝนไม่ตกลงมา
ถึงอย่างนั้นแดดก็แรงเอาเรื่องเหมือนกัน
ถ้าเป็นตอนกลางคืนคงสวยมาก แต่มาช่วงนี้คงทนรอจนมืดไม่ไหว 3 ทุ่มครึ่งฟ้าเพิ่งเริ่มมืดเอง
ออกจากประตูชัยนั่งเมโทรไปพิพิธภัณฑ์ออร์เซย์ที่เมื่อวานไปแล้วมันดันปิด
หิวข้าวด้วยเลยนั่งกินที่บลาสเซอรี่ชื่อ Les Deux Musee' หน้าพิพิธภัณฑ์ร้านนี้เรทติ้งในกูเกิ้ลช่างจิ๊บจ้อย แต่พอลองไปกินแล้วก็อร่อยดี คุณลุงที่เป็นบริกรก็ดูแลดี
นี่เผลอไปสั่งทาร์ทาร์สเต็ก (Steak Tartare) โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเนื้อดิบ คุณลุงก็อธิบายให้ด้วย ถามว่าเรากินได้แน่นะ แล้วแนะนำอาหารที่เราน่าจะกินได้มา
โต๊ะนี้หมดไป 1600 บาท เหงื่อแตกซิกๆ
กินอิ่มแล้วกระเป๋าก็เบาโหวงๆ แล้วด้วย นี่ก็เดินข้ามถนนมาเข้ามิวเซียมออร์เซย์
มิวเซียมออร์เซย์แต่เดิมเป็นสถานีรถไฟเหมือนหัวลำโพงบ้านเรา สุดท้ายเลิกใช้และเกือบจะถูกทุบทิ้ง แต่ก็ถูกทำมาเป็นพิพิธภัณฑ์ในที่สุด
ข้างในก็ให้บรรยากาศหัวลำโพงอยู่หน่อยๆ แฮะ สงสัยเป็นเพราะนาฬิกาเรือนใหญ่บนกำแพง
ที่นี่มีทั้งรูปปั้น และรูปวาด รวมทั้งมีผลงานของแวน โก๊ะ อยู่ด้วยหลายภาพ
โดยรวมคือเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่สวย ดูง่าย เลยชอบที่นี่มาก
ฝั่งตรงข้ามพิพิธภัณฑ์ออร์เซย์คือพิพิธภัณฑ์ศิลปะ Musee de I'Orangerie
นี่ก็เดินผ่านสะพาน Passerelle Solferino ที่มีการแขวนกุญแจคู่รักไว้เต็มเลย ที่จริงมีอีกสะพานนึงที่แขวนกุญแจแบบนี้ แต่ไม่ได้ผ่านไปทางนั้น
ที่ Musee de I'Orangerie ตั้งใจเข้ามาดูสระบัว (Water Lilies) ของโม่เน่โดยเฉพาะเลย
เคยอ่านเจอมาว่าภาพสระบัวใหญ่มาก แต่ไม่นึกว่าจะใหญ่ขนาดนี้ ใหญ่มากจริงๆ
ออกจากที่นี่เดินผ่านสวนตุยเลอรี (Jardin des Tuileries) ผ่านประตูชัยเล็ก ที่เล็กจิ๋วนิดเดียว เมื่อเทียบกับประตูชัยที่ถนนชองเอลิเซ่ เดินต่อไปอีกนิดก็จะถึงลูฟว์
แถวๆ นี้มีพี่คนดำคอยขายกับพวกด้ายแดงอยู่ แต่ไม่ได้น่ากลัวมากเหมือนแถวมงมาร์ต
ถ้าเมื่อยๆ เบื่อๆ มานั่งริมสระน้ำหน้าลูฟว์ก็ได้ มีเพื่อนนักท่องเที่ยวหลายชาตินั่งเพียบเลย
ปิดทริปของวันนี้ด้วยการเดินลูฟว์เป็นครั้งที่ 2 เดินได้สบายมาก กรุ๊ปทัวร์ก็ไม่ค่อยมีแล้วเพราะเย็นมากแล้ว
นี่ได้ยืนประชันหน้ากับป้าโมนาลิซ่าแบบสบายๆ เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น