วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

KYUSHU DIARY (2)


KUMAMOTO

เช้านี้ที่คุมาโมโต้

5 องศาเท่านั้นเอง 


ตอนแรกคิดเอาเองว่า ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ทางตอนใต้ของญี่ปุ่นคงไม่หนาวเท่าไหร่
ปรากฏว่าหนาวกว่าช่วงพฤศจิกาอีกจ้า

โอ๊ย..ลิงเขตร้อนอย่างข้าพเจ้าขอยอมแพ้

วันนี้มีโปรแกรมคือ ปราสาทคุมาโมโต้กับคฤหาสน์โฮโซกาวะ

นั่งรถรางจากหน้าสถานีคุมาโมโต้สาย A-Line


ลงป้ายหมายเลข 10 สถานี Kumamoto castle/City hall

ลงจากป้ายแล้วเดินไปอีกหน่อยจะเจอกับศาลเจ้าคุมาโมโต้อินาริ




เป็นศาลเจ้าเล็กๆ สร้างขึ้นเพื่อปกป้องปราสาทคุมาโมโต้จากสิ่งชั่วร้าย


ด้านหน้ามีป้ายคัทเอาต์ให้ถ่ายรูปด้วย




เช้านี้ฟ้าครึ้มเชียว ฝนจะตกรึเปล่าไม่รู้
เราลองขอพรด้วยเหรียณ 5 เยน อย่าให้วันนี้ฝนตกเลย

* ทำไมต้องเหรียญ 5 เยน ก็เพราะว่า คำว่า go-en นั้นมีความหมายที่ดี
นอกจากนี้สีทองของเหรียญยังดูมีค่า เป็นมงคล
(เหรียญ 5 เยนนี่ดูดีกว่า 100 เยนอีกนะ)
บนเหรียญก็มีรูปรวงข้าว สายน้ำซึ่งความหมายก็คือการงอกเงยและความอุดมสมบูรณ์
และสุดท้ายการมีรูตรงกลางก็เชื่อว่าสิ่งเลวร้ายต่างๆ จะผ่านพ้นไปได้
(นี่มันสรรพคุณครอบจักรวาลชัดๆ)

เหรียญ 5 เยน และแม็กเน็ตเหรียญ 5 เยนรูปคิตตี้


ได้ผลมั้ยไม่รู้ แต่ต่อจากนี้ท้องฟ้าบางส่วนก็เปิดแหละ


เดินออกมาจากทางศาลเจ้าจะเจอประตูทางเข้าและจุดขายตั๋ว
อย่าลืมโชว์บัตร wakuwaku pass เพื่อรับส่วนลด

เดินไปตามทางสู่ตัวปราสาท


ช่วงนี้น่าจะเป็นหน้าดอกบ๊วย 
ดอกบ๊วยขาว บ๊วยแดงกำลังออกดอกตูม 
บางดอกก็บานล่วงหน้ามาแล้ว
ถ้าพร้อมใจกันบานหมด น่าจะสวย



เราโผล่มาทางด้านหลังปราสาท 
ต้องเดินอ้อมไปอีกนิดเพื่อขึ้นปราสาททางด้านหน้า
ด้านหลังมีร้านขายของที่ระลึกแล้วก็ขายมันจู


อากาศหนาวๆ อย่างนี้ 
กินมันจูนึ่งร้อนๆ กันเหอะ


เราสั่งรส Sweet Potato 
หวานๆ ร้อนๆ 


หน้าปราสาทคุมาโมโต้
เข้าไปในปราสาทได้ ด้านในจะเป็นนิทรรศการ
ส่วนด้านบนสุดเป็นจุดชมวิว


จ๊ะเอ๋..เจอตึกคุมามงด้วย


ตรงด้านหน้าปราสาทจะมีจุดพักผ่อน
เอาไว้หลบหนาวแล้วก็มีตู้กดน้ำด้วย
ด้านในจะมีคุณป้าแต่งชุดกิโมโนสวยงามชงชาให้ในราคาชุดละ 300 เยน


ชาก็จะขมๆ หน่อย 
แต่อากาศร้อนแบบนี้กินอะไรขมๆ ร้อนๆ นี่ก็ดีเหมือนกัน


ออกจากปราสาทตั้งใจว่าจะไปคฤหาสน์โฮโซกาวะต่อเลย
รู้แต่ว่าต้องนั่งรถ Kumamoto Castle Loop Bus เพื่อไปจุดนี้
แต่ไม่รู้ว่าป้ายรถบัสอยู่ตรงไหน

บังเอิญว่าออกตรงประตูที่มีรถบัสฟรีที่รับ-ส่ง ระหว่าง
ปราสาทคุมาโมโต้กับ Sakura no Baba Josaien
หน้าตาแบบนี้ เลยไปตั้งต้นที่นี่เลย



Sakura no Baba Josaien เป็นเหมือนช๊อปปิ้งเซ็นเตอร์
ขายของกินของฝากอยู่ติดกับปราสาทนี่แหละ


เป็นจุดพักหาอะไรกินนิดๆ หน่อยๆ ที่พอประทังความหิวไปได้


แน่นอนว่ามีเจ้าหมีคุมามงคอยต้อนรับอีกแล้ว

เสร็จแล้วมายืนคอยรถบัสเพื่อต่อไปที่คฤหาสน์โฮโซกาวะ
บนรถมีแผนที่เดินรถและภาษาอังกฤษคอยบอกป้าย
ดังนั้นนักท่องเที่ยวอย่างเราไม่ต้องกลัวว่าจะลงผิดป้าย

บัตร Waku-waku pass สามารถใช้บริการรถนี้ได้ฟรีจ้า

ตลอดการเดินทาง
จะเห็นคนสูงอายุรุ่นคุณปู่คุณย่ามาเที่ยวกันเองแบบนี้เยอะมาก
มากันเองแบบไม่ง้อลูกหลาน
ยิ่งถ้าตรงไหนเป็นจุดเดินป่า เดินเขาจะเจอคุณปู่คุณย่าเยอะมาก
แข็งแรงกันดีจริงๆ


แล้วก็ลงป้าย Hosokawa Residence

ทางเข้าจะเป็นเหมือนประตูบ้านคนแบบนี้


เดินเข้าไปด้านในซื้อตั๋ว
ยื่นบัตร waku-waku pass ด้วยเพื่อเป็นส่วนลด

(เราซื้อบัตร wakuwaku 2 วัน 800 เยน
วันแรกนั่งรถราง 3 เที่ยว = 450 เยน
ส่วนลดสวน Suizenji 40 เยน
วันที่ 2 นั่งรถราง 2 เที่ยว = 300 เยน
Kumamoto Castle Loop Bus 2 เที่ยว = 300 เยน
ส่วนลดปราสาทกับคฤหาสน์อีก 200 เยน
ดูๆ แล้วซื้อบัตรก็คุ้มค่าอยู่นะ)


ด้านในเป็นบ้านตระกูลซามูไรเก่าของคุมาโมโต้
ดูด้านนอกเล็กๆ แต่ข้างในค่อนข้างกว้างมาก
ได้ไปดูบ้านแบบญี่ปุ่นโบราณก็ดีเหมือนกัน

แต่เอาเข้าจริงแล้วมันก็ไม่ค่อยน่าสนใจนะ
ใครไม่มีเวลาจะตัดโปรแกรมนี้ออกก็ได้
แต่ถ้าใครอยากดูบ้านแบบสมัยก่อน โปรแกรมนี้ก็โอเคดี
ที่นี่ใช้เวลาไม่นานประมาณครึ่งชั่วโมงก็ออกมารอรถรอบถัดไปทันพอดี

หิวแล้วไปกินข้าวร้านนี้

เป็นร้านทงคัตสึ
ชื่อร้าน Katsuretsu Tei



พอสั่งอาหารได้แล้วเค้าจะให้งามาบดเล่น
(ที่จริงคือให้บดงาใส่ซอสเอง)

บดงาเล่นรอข้าวไปก่อน
 และแล้วอาหารก็มา
กรี๊ดมาก คือหน้าตาดี พอกัดก็อร่อย


เราสั่งเซ็ทอาหารทะเลด้วย
คือจะมีหอยและกุ้งทอดเพิ่มมา
ที่ร้านมีเมนูภาษาอังกฤษนะ แต่ไม่ค่อยได้ช่วยอะไรหรอก
อาศัยดูรูปเอาเข้าใจกว่า


นี่คือหอยนางรมตัวใหญ่
กัดเข้าไปกรอบนอก นุ่มใน
อร่อยจนอยากจะกรี๊ดในร้าน

ปกติเราไม่กินของทอดนะ แต่ร้านนี้ต้องยอมจริงๆ
อร่อยมากกกกกก
หมูทอดทงคัตสึนุ่มมาก หอยทอดตัวใหญ่ กุ้งก็ตัวใหญ่
แต่ราคาสูงหน่อย ตกเซ็ทละ 1500-2000 กว่าเยน
แต่คุ้มค่า 
ถ้ามาคุมาโมโต้ต้องมากินร้านนี้ให้ได้นะ
เซ็ทอาหารเที่ยงให้บริการถึง 4 โมงเย็นนู่นแหน่ะ
ร้านนี้คือสุดยอดของการแนะนำ

กินอิ่มไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม
แล้วนั่งชินคันเซนจากคุมาโมโต้กลับไปยังฟุกุโอกะ
อีก 4 คืนจากนี้เราจะย้ายไปนอนยัง Toyoko-inn Hakata Ekimae Gion กัน

บนชินคันเซน Tsubame 336 เส้นทาง Kumamoto-Hakata
ตู้ที่ 2 non-reserve



วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

KYUSHU DIARY (1)

KYUSHU DIARY



เกาะคิวชูเป็นเกาะใหญ่ที่อยู่ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น
หลายคนอาจจะไม่คุ้นกับชื่อคิวชูนัก 
แต่หลังจากที่มีสายการบินโลว์คอสบินไป-กลับระหว่าง กทม.-ฟุกุโอกะ
เราว่า ต่อจากนี้ชื่อนี้น่าจะคุ้นหูหลายๆ คนเหมือนกับโตเกียวหรือโอซาก้าแน่ๆ

ครั้งนี้เราเดินทางกับ Jetstar เป็นสายการบินโลว์คอสจากสิงคโปร์
ด้วยราคาไป-กลับ บวกกับค่าน้ำหนักกระเป๋าขาละ 20 กก. ตกคนละ 8500 บาท
เราเลยต้องมนต์ Jetstar ไปฟุกุโอกะอย่างง่ายดาย


ไฟต์ 3K509 มุ่งหน้าสู่ฟุกุโอกะ ตอนตี 2.15 น. ณ เกท G1 อันไกลโพ้น

ถ้าใครเคยบินกับสายการบินเจ้านี้จะรู้ว่าฮาร์ทเซลล์มาก
เปิดไฟเดินขายของเกือบทั้งคืน 
ดังนั้นอุปกรณ์สำคัญที่จะช่วยให้เราหลับสบายคือ
ผ้าปิดตาและหมอนรองคอ


เช้านี้ที่ท้องฟ้าเหนือทะเลญี่ปุ่น 
เมฆขนาดนี้เป็นสัญญาณว่า อากาศน่าจะหนาวไม่น้อย

การผ่าน ตม.ครั้งนี้ผ่านไปด้วยดีไม่ติดขัดอะไร
คงเพราะเป็นครั้งที่ 2 แล้วด้วย

สถานีฮากาตะคือจุดเริ่มต้นการท่องเที่ยวของใครหลายๆ คน
เพราะเป็นจุดที่เราต้องมาแลกหรือซื้อตั๋ว JR Pass
หรือนั่งรถไฟ (หรือจะรถบัสก็ได้) ไปยังเมืองอื่นๆ อีก

วิธีเดินทางไปสถานีฮากาตะ มี 2 วิธีคือ
 1.) เรานั่งรถบัสประจำทางจากป้ายหมายเลข 2 หน้า International Terminal
ไปถึงสถานี Hakata
ใช้เวลาแค่ 10 นาที ราคา 260 เยน

2.) นั่งฟรี shutter bus ไป Domestic Terminal จากนั้นค่อยต่อ Subway มาสถานีฮากาตะ

เราเลือกใช้วิธีที่ 1 เพราะไม่ต้องยุ่งยากแบกกระเป๋าหลายรอบ
ต่อเดียวถึงที่หมาย ง่ายดี
แล้วทั้งคันมีเราแค่ 2 คนเอง สงสัยคนอื่นจะเลือกใช้วิธีที่ 2 กันหมด


ที่สถานีฮากาตะ เราเดินหาร้านลิ้นวัวย่างร้านนี้ทันที


เมนูมีลิ้นวัวย่างกับข้าวแกงกะหรี่



ลิ้นวัวอร่อยมาก เค็มๆ บางๆ ย่างเกรียมๆ
ข้าวเติมได้ถ้าไม่พอ

ส่วนซุปอะไรสักอย่างนั่นเราไม่รู้เค้ากินกันยังไง
เห็นโต๊ะข้างๆ เอาไข่ดิบใส่แล้วเอามาราดข้าว
เราลองทำมั่งแต่มันดูแหยะๆ แหวะๆ ชอบกล

ส่วนที่ชอบยิ่งกว่าลิ้นวัวคือผักดองแกล้ม
ผักที่แกล้มมากับข้าวที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นผักดองเกือบทั้งหมด
แล้วส่วนใหญ่ก็จะอร่อยมากด้วย

จัดการเติมพลังเสร็จ ออกไปแลก JR North Kyushu Pass สำหรับ 5 วัน
แล้วนั่งชินคันเซ็นไปคุมาโมโต้กันเลย

จากฟุกุโอกะไปคุมาโมโต้ใช้เวลาแค่ 40 นาทีเท่านั้นเอง

อากาศวันนี้ทั้งหนาวแล้วก็ลมแรง
ท้องฟ้าก็ขมุกขมัวชอบกล


ออกจากสถานีเดินไปทางขวา จะเจอกับป้อมตำรวจหน้าตาน่ารักแบบนี้

โคบังหรือป้อมตำรวจที่มุ้งมิ้งที่สุดเท่าที่เคยเจอมา

ตึกสูงด้านหลังคือโรงแรม Toyoko-inn Kumamoto Ekimae สาขาที่เราพัก

เป็นบิสซิเนสโฮเทลราคากลางๆ แต่มีอุปกรณ์ครบ

แนะนำให้เลือกห้องพักแบบไม่สูบบุหรี่เท่านั้น 
อุปกรณ์ของใช้พื้นฐานอย่างไดร์เป่าผม ตู้เย็น ตู้เซฟ แชมพูหรือสบู่ก็มี รวมถึงมีชุดนอนด้วย 
เราทำบัตรสมาชิกราคา 1500 เยน ใช้ได้ตลอดชีพ

บัตรสมาชิกทำหน้าเคาเตอร์ได้เลย เจ้าหน้าที่จะหยิบกล้องมาแชะ! แล้วก็ได้บัตรสมาชิกมา 1 ใบ

วันปกติได้ลด 5% ส่วนวันอาทิตย์และวันหยุดได้ลด 20%
ทริปนี้เลยพักที่ Toyoko inn ทุกคืนเลย
ข้อดีอีกอย่างนึงก็คือโรงแรมนี้มีสาขาทั่วประเทศ
อย่างในคุมาโมโต้เองก็มีถึง 3-4 สาขาแล้ว

หลังจากฝากกระเป๋าไว้ก่อน เพราะห้องจะเข้าได้หลัง 4 โมงเย็น
เราก็ออกเที่ยวกันเลย

การเดินทางในคุมาโมโต้ก็จะมีทั้งรถบัสประจำทางแล้วก็รถราง
ค่ารถรางและรถบัสท่องเที่ยว ขาละ 150 เยน

ปกติแล้วตามเมืองท่องเที่ยวมักจะมีบัตรเหมาจ่ายค่ารถ
ในคุมาโมโต้เองก็มีบัตร waku-waku pass
ขึ้นได้ทั้งรถบัส รถราง รถท่องเที่ยวภายในเมือง
มีแบบ 1 วันราคา 500 เยน
และแบบ 2 วันราคา 800 เยน
รวมถึงได้ส่วนลดในสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง
(แต่ที่ไหนบ้างนั้นเราอ่านไม่ออก เพราะมันเป็นญี่ปุ่นล้วน)
หาซื้อได้ที่ information ในสถานีรถไฟคุมาโมโต้

wakuwaku 2 days pass ราคา 800 เยน

วันแรกขอเบาๆ ด้วยสวน Suizenji
เป็นสวนญี่ปุ่นที่สวยติดอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น

นั่งรถรางลงป้าย Suizenji
แล้วเดินย้อนมาเลี้ยวขวาตรงสี่แยก เดินต่อไปอีกหน่อย
จะเจอเสาโทริอิแบบนี้
ด้านหน้าจะมีร้านค้า แต่ทำไมช่างดูเงียบเหงาจัง


เจอเจ้าหมีคุมามงคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่


เดินต่อไปอีกนิดก็จะเจอซุ้มขายตั๋ว
อย่าลืมโชว์ waku-waku pass เพื่อเป็นส่วนลดได้ 40 เยน

แต่สงสัยเราจะคาดหวังมากไป
ด้วยความที่ตอนนี้มันเป็นฤดูหนาวที่แล้งสุดๆ
ใบไม้ร่วงหล่นโรยรา
สวนมันก็เลยแล้งๆ แห้งๆ เหี่ยวๆ แบบนี้แหละ


แถมท้องฟ้าก็ขมุกขมัว


โดนแฟนแขวะเบาๆ ว่านี่หรือคือสวนที่สวยติดอันดับสวนญี่ปุ่น


แถมเดินเล่นรอบสวนไปได้ครึ่งรอบ ฝนก็ดันตกลงมาอีก
อืม...แค่หนาวคงจะยังไม่พอ ฝนตกลงมาเพิ่มความป่วยให้ตัวเองอีก

ในสวนมีรูปปั้นใครสักคนอยู่
รอบๆ เป็นต้นบ๊วยที่กำลังจะเบ่งบาน



ไม่ได้เห็นซากุระแต่มาเห็นดอกบ๊วยก็โอเคนะ

เดินหลบฝนออกมาจากสวน
เสียดายที่ครั้งนี้สวนสวยน้อยไปหน่อย
แต่เราคิดว่าถ้ามาช่วงเวลาอื่นสวนคงจะสวยกว่านี้แหละมั้ง
(ไปนั่งอ่านรีวิวคนอื่นมา หน้าอื่นสวนกว่าหน้านี้จริงๆ นั่นแหละ)

ส่วนที่ดีที่สุดของสวน Suizenji วันนี้ก็คือ ร้านคุณลุงขายผลไม้หน้าสวน
ราคาถูกกว่าย่านใจกลางเมืองเยอะเลย



เพิ่งเคยกินสตรอว์เบอรี่ของญี่ปุ่น
อย่างแรกเลยคือมีกลิ่นหอมมาก สตรอว์เบอรี่บ้านเราจะไม่ค่อยมีกลิ่นหอม
แล้วเนื้อก็ฟู นุ่มๆ กว่าบ้านเรา ในขณะที่บ้านเราเนื้อจะแน่นกว่า แข็งกว่า
ส่วนขนาดนั้น เห็นขายแต่ไซส์ใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลย

ไม่อยากจะว่าให้สตรอว์เบอรี่บ้านเราน้อยใจแต่ของที่นู่นอร่อยกว่าจริงๆ


วันนี้อยากกินอะไรร้อนๆ เลยจัดราเมง Ichiran Ramen 
แถว Shimotori อันเป็นย่านช๊อปปิ้งของเมือง
รสชาติยังคงอร่อยเหมือนเดิม


ถ้าถูกใจก็ซื้อกลับไปกินบ้านก็ได้ 
ส่วนเราลืมซื้อกลับมา โถ..


เดินออกไปดูร้านรวง 
เจอสตรอว์เบอรี่ใส่รูปเจ้าหมีคุมามง 1 ตัวราคาอัพขึ้นไปอีกเท่าตัว


ซื้อกลับมากินที่ห้องจิ้มกับนมข้นรูปวัว..
กินเปล่าๆ อร่อยกว่านะ