KYUSHU DIARY
เกาะคิวชูเป็นเกาะใหญ่ที่อยู่ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น
หลายคนอาจจะไม่คุ้นกับชื่อคิวชูนัก
แต่หลังจากที่มีสายการบินโลว์คอสบินไป-กลับระหว่าง กทม.-ฟุกุโอกะ
เราว่า ต่อจากนี้ชื่อนี้น่าจะคุ้นหูหลายๆ คนเหมือนกับโตเกียวหรือโอซาก้าแน่ๆ
ครั้งนี้เราเดินทางกับ Jetstar เป็นสายการบินโลว์คอสจากสิงคโปร์
ด้วยราคาไป-กลับ บวกกับค่าน้ำหนักกระเป๋าขาละ 20 กก. ตกคนละ 8500 บาท
เราเลยต้องมนต์ Jetstar ไปฟุกุโอกะอย่างง่ายดาย
ไฟต์ 3K509 มุ่งหน้าสู่ฟุกุโอกะ ตอนตี 2.15 น. ณ เกท G1 อันไกลโพ้น
ถ้าใครเคยบินกับสายการบินเจ้านี้จะรู้ว่าฮาร์ทเซลล์มาก
เปิดไฟเดินขายของเกือบทั้งคืน
ดังนั้นอุปกรณ์สำคัญที่จะช่วยให้เราหลับสบายคือ
ผ้าปิดตาและหมอนรองคอ
เช้านี้ที่ท้องฟ้าเหนือทะเลญี่ปุ่น
เมฆขนาดนี้เป็นสัญญาณว่า อากาศน่าจะหนาวไม่น้อย
การผ่าน ตม.ครั้งนี้ผ่านไปด้วยดีไม่ติดขัดอะไร
คงเพราะเป็นครั้งที่ 2 แล้วด้วย
สถานีฮากาตะคือจุดเริ่มต้นการท่องเที่ยวของใครหลายๆ คน
เพราะเป็นจุดที่เราต้องมาแลกหรือซื้อตั๋ว JR Pass
หรือนั่งรถไฟ (หรือจะรถบัสก็ได้) ไปยังเมืองอื่นๆ อีก
วิธีเดินทางไปสถานีฮากาตะ มี 2 วิธีคือ
1.) เรานั่งรถบัสประจำทางจากป้ายหมายเลข 2 หน้า International Terminal
ไปถึงสถานี Hakata
ใช้เวลาแค่ 10 นาที ราคา 260 เยน
2.) นั่งฟรี shutter bus ไป Domestic Terminal จากนั้นค่อยต่อ Subway มาสถานีฮากาตะ
เราเลือกใช้วิธีที่ 1 เพราะไม่ต้องยุ่งยากแบกกระเป๋าหลายรอบ
ต่อเดียวถึงที่หมาย ง่ายดี
แล้วทั้งคันมีเราแค่ 2 คนเอง สงสัยคนอื่นจะเลือกใช้วิธีที่ 2 กันหมด
ที่สถานีฮากาตะ เราเดินหาร้านลิ้นวัวย่างร้านนี้ทันที
เมนูมีลิ้นวัวย่างกับข้าวแกงกะหรี่
ลิ้นวัวอร่อยมาก เค็มๆ บางๆ ย่างเกรียมๆ
ข้าวเติมได้ถ้าไม่พอ
ส่วนซุปอะไรสักอย่างนั่นเราไม่รู้เค้ากินกันยังไง
เห็นโต๊ะข้างๆ เอาไข่ดิบใส่แล้วเอามาราดข้าว
เราลองทำมั่งแต่มันดูแหยะๆ แหวะๆ ชอบกล
ส่วนที่ชอบยิ่งกว่าลิ้นวัวคือผักดองแกล้ม
ผักที่แกล้มมากับข้าวที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นผักดองเกือบทั้งหมด
แล้วส่วนใหญ่ก็จะอร่อยมากด้วย
จัดการเติมพลังเสร็จ ออกไปแลก JR North Kyushu Pass สำหรับ 5 วัน
แล้วนั่งชินคันเซ็นไปคุมาโมโต้กันเลย
จากฟุกุโอกะไปคุมาโมโต้ใช้เวลาแค่ 40 นาทีเท่านั้นเอง
อากาศวันนี้ทั้งหนาวแล้วก็ลมแรง
ท้องฟ้าก็ขมุกขมัวชอบกล
ออกจากสถานีเดินไปทางขวา จะเจอกับป้อมตำรวจหน้าตาน่ารักแบบนี้
ตึกสูงด้านหลังคือโรงแรม Toyoko-inn Kumamoto Ekimae สาขาที่เราพัก
เป็นบิสซิเนสโฮเทลราคากลางๆ แต่มีอุปกรณ์ครบ
เราทำบัตรสมาชิกราคา 1500 เยน ใช้ได้ตลอดชีพ
วันปกติได้ลด 5% ส่วนวันอาทิตย์และวันหยุดได้ลด 20%
ทริปนี้เลยพักที่ Toyoko inn ทุกคืนเลย
ข้อดีอีกอย่างนึงก็คือโรงแรมนี้มีสาขาทั่วประเทศ
อย่างในคุมาโมโต้เองก็มีถึง 3-4 สาขาแล้ว
หลังจากฝากกระเป๋าไว้ก่อน เพราะห้องจะเข้าได้หลัง 4 โมงเย็น
เราก็ออกเที่ยวกันเลย
การเดินทางในคุมาโมโต้ก็จะมีทั้งรถบัสประจำทางแล้วก็รถราง
ค่ารถรางและรถบัสท่องเที่ยว ขาละ 150 เยน
ปกติแล้วตามเมืองท่องเที่ยวมักจะมีบัตรเหมาจ่ายค่ารถ
ในคุมาโมโต้เองก็มีบัตร waku-waku pass
ขึ้นได้ทั้งรถบัส รถราง รถท่องเที่ยวภายในเมือง
มีแบบ 1 วันราคา 500 เยน
และแบบ 2 วันราคา 800 เยน
รวมถึงได้ส่วนลดในสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง
(แต่ที่ไหนบ้างนั้นเราอ่านไม่ออก เพราะมันเป็นญี่ปุ่นล้วน)
หาซื้อได้ที่ information ในสถานีรถไฟคุมาโมโต้
วันแรกขอเบาๆ ด้วยสวน Suizenji
เป็นสวนญี่ปุ่นที่สวยติดอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น
นั่งรถรางลงป้าย Suizenji
แล้วเดินย้อนมาเลี้ยวขวาตรงสี่แยก เดินต่อไปอีกหน่อย
จะเจอเสาโทริอิแบบนี้
ด้านหน้าจะมีร้านค้า แต่ทำไมช่างดูเงียบเหงาจัง
เจอเจ้าหมีคุมามงคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่
แต่สงสัยเราจะคาดหวังมากไป
ด้วยความที่ตอนนี้มันเป็นฤดูหนาวที่แล้งสุดๆ
ใบไม้ร่วงหล่นโรยรา
สวนมันก็เลยแล้งๆ แห้งๆ เหี่ยวๆ แบบนี้แหละ
แถมท้องฟ้าก็ขมุกขมัว
โดนแฟนแขวะเบาๆ ว่านี่หรือคือสวนที่สวยติดอันดับสวนญี่ปุ่น
ในสวนมีรูปปั้นใครสักคนอยู่
รอบๆ เป็นต้นบ๊วยที่กำลังจะเบ่งบาน
ส่วนที่ดีที่สุดของสวน Suizenji วันนี้ก็คือ ร้านคุณลุงขายผลไม้หน้าสวน
ราคาถูกกว่าย่านใจกลางเมืองเยอะเลย
ซื้อกลับมากินที่ห้องจิ้มกับนมข้นรูปวัว..
กินเปล่าๆ อร่อยกว่านะ
การผ่าน ตม.ครั้งนี้ผ่านไปด้วยดีไม่ติดขัดอะไร
คงเพราะเป็นครั้งที่ 2 แล้วด้วย
สถานีฮากาตะคือจุดเริ่มต้นการท่องเที่ยวของใครหลายๆ คน
เพราะเป็นจุดที่เราต้องมาแลกหรือซื้อตั๋ว JR Pass
หรือนั่งรถไฟ (หรือจะรถบัสก็ได้) ไปยังเมืองอื่นๆ อีก
วิธีเดินทางไปสถานีฮากาตะ มี 2 วิธีคือ
1.) เรานั่งรถบัสประจำทางจากป้ายหมายเลข 2 หน้า International Terminal
ไปถึงสถานี Hakata
ใช้เวลาแค่ 10 นาที ราคา 260 เยน
2.) นั่งฟรี shutter bus ไป Domestic Terminal จากนั้นค่อยต่อ Subway มาสถานีฮากาตะ
เราเลือกใช้วิธีที่ 1 เพราะไม่ต้องยุ่งยากแบกกระเป๋าหลายรอบ
ต่อเดียวถึงที่หมาย ง่ายดี
แล้วทั้งคันมีเราแค่ 2 คนเอง สงสัยคนอื่นจะเลือกใช้วิธีที่ 2 กันหมด
ที่สถานีฮากาตะ เราเดินหาร้านลิ้นวัวย่างร้านนี้ทันที
เมนูมีลิ้นวัวย่างกับข้าวแกงกะหรี่
ข้าวเติมได้ถ้าไม่พอ
ส่วนซุปอะไรสักอย่างนั่นเราไม่รู้เค้ากินกันยังไง
เห็นโต๊ะข้างๆ เอาไข่ดิบใส่แล้วเอามาราดข้าว
เราลองทำมั่งแต่มันดูแหยะๆ แหวะๆ ชอบกล
ส่วนที่ชอบยิ่งกว่าลิ้นวัวคือผักดองแกล้ม
ผักที่แกล้มมากับข้าวที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นผักดองเกือบทั้งหมด
แล้วส่วนใหญ่ก็จะอร่อยมากด้วย
จัดการเติมพลังเสร็จ ออกไปแลก JR North Kyushu Pass สำหรับ 5 วัน
แล้วนั่งชินคันเซ็นไปคุมาโมโต้กันเลย
จากฟุกุโอกะไปคุมาโมโต้ใช้เวลาแค่ 40 นาทีเท่านั้นเอง
อากาศวันนี้ทั้งหนาวแล้วก็ลมแรง
ท้องฟ้าก็ขมุกขมัวชอบกล
ออกจากสถานีเดินไปทางขวา จะเจอกับป้อมตำรวจหน้าตาน่ารักแบบนี้
โคบังหรือป้อมตำรวจที่มุ้งมิ้งที่สุดเท่าที่เคยเจอมา |
ตึกสูงด้านหลังคือโรงแรม Toyoko-inn Kumamoto Ekimae สาขาที่เราพัก
เป็นบิสซิเนสโฮเทลราคากลางๆ แต่มีอุปกรณ์ครบ
แนะนำให้เลือกห้องพักแบบไม่สูบบุหรี่เท่านั้น |
อุปกรณ์ของใช้พื้นฐานอย่างไดร์เป่าผม ตู้เย็น ตู้เซฟ แชมพูหรือสบู่ก็มี รวมถึงมีชุดนอนด้วย |
บัตรสมาชิกทำหน้าเคาเตอร์ได้เลย เจ้าหน้าที่จะหยิบกล้องมาแชะ! แล้วก็ได้บัตรสมาชิกมา 1 ใบ |
วันปกติได้ลด 5% ส่วนวันอาทิตย์และวันหยุดได้ลด 20%
ทริปนี้เลยพักที่ Toyoko inn ทุกคืนเลย
ข้อดีอีกอย่างนึงก็คือโรงแรมนี้มีสาขาทั่วประเทศ
อย่างในคุมาโมโต้เองก็มีถึง 3-4 สาขาแล้ว
หลังจากฝากกระเป๋าไว้ก่อน เพราะห้องจะเข้าได้หลัง 4 โมงเย็น
เราก็ออกเที่ยวกันเลย
การเดินทางในคุมาโมโต้ก็จะมีทั้งรถบัสประจำทางแล้วก็รถราง
ค่ารถรางและรถบัสท่องเที่ยว ขาละ 150 เยน
ปกติแล้วตามเมืองท่องเที่ยวมักจะมีบัตรเหมาจ่ายค่ารถ
ในคุมาโมโต้เองก็มีบัตร waku-waku pass
ขึ้นได้ทั้งรถบัส รถราง รถท่องเที่ยวภายในเมือง
มีแบบ 1 วันราคา 500 เยน
และแบบ 2 วันราคา 800 เยน
รวมถึงได้ส่วนลดในสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง
(แต่ที่ไหนบ้างนั้นเราอ่านไม่ออก เพราะมันเป็นญี่ปุ่นล้วน)
หาซื้อได้ที่ information ในสถานีรถไฟคุมาโมโต้
wakuwaku 2 days pass ราคา 800 เยน |
วันแรกขอเบาๆ ด้วยสวน Suizenji
เป็นสวนญี่ปุ่นที่สวยติดอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น
นั่งรถรางลงป้าย Suizenji
แล้วเดินย้อนมาเลี้ยวขวาตรงสี่แยก เดินต่อไปอีกหน่อย
จะเจอเสาโทริอิแบบนี้
ด้านหน้าจะมีร้านค้า แต่ทำไมช่างดูเงียบเหงาจัง
เจอเจ้าหมีคุมามงคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่
เดินต่อไปอีกนิดก็จะเจอซุ้มขายตั๋ว
อย่าลืมโชว์ waku-waku pass เพื่อเป็นส่วนลดได้ 40 เยน
แต่สงสัยเราจะคาดหวังมากไป
ด้วยความที่ตอนนี้มันเป็นฤดูหนาวที่แล้งสุดๆ
ใบไม้ร่วงหล่นโรยรา
สวนมันก็เลยแล้งๆ แห้งๆ เหี่ยวๆ แบบนี้แหละ
แถมท้องฟ้าก็ขมุกขมัว
โดนแฟนแขวะเบาๆ ว่านี่หรือคือสวนที่สวยติดอันดับสวนญี่ปุ่น
แถมเดินเล่นรอบสวนไปได้ครึ่งรอบ ฝนก็ดันตกลงมาอีก
อืม...แค่หนาวคงจะยังไม่พอ ฝนตกลงมาเพิ่มความป่วยให้ตัวเองอีก
ในสวนมีรูปปั้นใครสักคนอยู่
รอบๆ เป็นต้นบ๊วยที่กำลังจะเบ่งบาน
ไม่ได้เห็นซากุระแต่มาเห็นดอกบ๊วยก็โอเคนะ
เดินหลบฝนออกมาจากสวน
เสียดายที่ครั้งนี้สวนสวยน้อยไปหน่อย
แต่เราคิดว่าถ้ามาช่วงเวลาอื่นสวนคงจะสวยกว่านี้แหละมั้ง
(ไปนั่งอ่านรีวิวคนอื่นมา หน้าอื่นสวนกว่าหน้านี้จริงๆ นั่นแหละ)
ราคาถูกกว่าย่านใจกลางเมืองเยอะเลย
เพิ่งเคยกินสตรอว์เบอรี่ของญี่ปุ่น
อย่างแรกเลยคือมีกลิ่นหอมมาก สตรอว์เบอรี่บ้านเราจะไม่ค่อยมีกลิ่นหอม
แล้วเนื้อก็ฟู นุ่มๆ กว่าบ้านเรา ในขณะที่บ้านเราเนื้อจะแน่นกว่า แข็งกว่า
ส่วนขนาดนั้น เห็นขายแต่ไซส์ใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลย
ไม่อยากจะว่าให้สตรอว์เบอรี่บ้านเราน้อยใจแต่ของที่นู่นอร่อยกว่าจริงๆ
วันนี้อยากกินอะไรร้อนๆ เลยจัดราเมง Ichiran Ramen
แถว Shimotori อันเป็นย่านช๊อปปิ้งของเมือง
รสชาติยังคงอร่อยเหมือนเดิม
ถ้าถูกใจก็ซื้อกลับไปกินบ้านก็ได้
ส่วนเราลืมซื้อกลับมา โถ..
เดินออกไปดูร้านรวง
เจอสตรอว์เบอรี่ใส่รูปเจ้าหมีคุมามง 1 ตัวราคาอัพขึ้นไปอีกเท่าตัว
กินเปล่าๆ อร่อยกว่านะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น