วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

KYUSHU DIARY (1)

KYUSHU DIARY



เกาะคิวชูเป็นเกาะใหญ่ที่อยู่ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น
หลายคนอาจจะไม่คุ้นกับชื่อคิวชูนัก 
แต่หลังจากที่มีสายการบินโลว์คอสบินไป-กลับระหว่าง กทม.-ฟุกุโอกะ
เราว่า ต่อจากนี้ชื่อนี้น่าจะคุ้นหูหลายๆ คนเหมือนกับโตเกียวหรือโอซาก้าแน่ๆ

ครั้งนี้เราเดินทางกับ Jetstar เป็นสายการบินโลว์คอสจากสิงคโปร์
ด้วยราคาไป-กลับ บวกกับค่าน้ำหนักกระเป๋าขาละ 20 กก. ตกคนละ 8500 บาท
เราเลยต้องมนต์ Jetstar ไปฟุกุโอกะอย่างง่ายดาย


ไฟต์ 3K509 มุ่งหน้าสู่ฟุกุโอกะ ตอนตี 2.15 น. ณ เกท G1 อันไกลโพ้น

ถ้าใครเคยบินกับสายการบินเจ้านี้จะรู้ว่าฮาร์ทเซลล์มาก
เปิดไฟเดินขายของเกือบทั้งคืน 
ดังนั้นอุปกรณ์สำคัญที่จะช่วยให้เราหลับสบายคือ
ผ้าปิดตาและหมอนรองคอ


เช้านี้ที่ท้องฟ้าเหนือทะเลญี่ปุ่น 
เมฆขนาดนี้เป็นสัญญาณว่า อากาศน่าจะหนาวไม่น้อย

การผ่าน ตม.ครั้งนี้ผ่านไปด้วยดีไม่ติดขัดอะไร
คงเพราะเป็นครั้งที่ 2 แล้วด้วย

สถานีฮากาตะคือจุดเริ่มต้นการท่องเที่ยวของใครหลายๆ คน
เพราะเป็นจุดที่เราต้องมาแลกหรือซื้อตั๋ว JR Pass
หรือนั่งรถไฟ (หรือจะรถบัสก็ได้) ไปยังเมืองอื่นๆ อีก

วิธีเดินทางไปสถานีฮากาตะ มี 2 วิธีคือ
 1.) เรานั่งรถบัสประจำทางจากป้ายหมายเลข 2 หน้า International Terminal
ไปถึงสถานี Hakata
ใช้เวลาแค่ 10 นาที ราคา 260 เยน

2.) นั่งฟรี shutter bus ไป Domestic Terminal จากนั้นค่อยต่อ Subway มาสถานีฮากาตะ

เราเลือกใช้วิธีที่ 1 เพราะไม่ต้องยุ่งยากแบกกระเป๋าหลายรอบ
ต่อเดียวถึงที่หมาย ง่ายดี
แล้วทั้งคันมีเราแค่ 2 คนเอง สงสัยคนอื่นจะเลือกใช้วิธีที่ 2 กันหมด


ที่สถานีฮากาตะ เราเดินหาร้านลิ้นวัวย่างร้านนี้ทันที


เมนูมีลิ้นวัวย่างกับข้าวแกงกะหรี่



ลิ้นวัวอร่อยมาก เค็มๆ บางๆ ย่างเกรียมๆ
ข้าวเติมได้ถ้าไม่พอ

ส่วนซุปอะไรสักอย่างนั่นเราไม่รู้เค้ากินกันยังไง
เห็นโต๊ะข้างๆ เอาไข่ดิบใส่แล้วเอามาราดข้าว
เราลองทำมั่งแต่มันดูแหยะๆ แหวะๆ ชอบกล

ส่วนที่ชอบยิ่งกว่าลิ้นวัวคือผักดองแกล้ม
ผักที่แกล้มมากับข้าวที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นผักดองเกือบทั้งหมด
แล้วส่วนใหญ่ก็จะอร่อยมากด้วย

จัดการเติมพลังเสร็จ ออกไปแลก JR North Kyushu Pass สำหรับ 5 วัน
แล้วนั่งชินคันเซ็นไปคุมาโมโต้กันเลย

จากฟุกุโอกะไปคุมาโมโต้ใช้เวลาแค่ 40 นาทีเท่านั้นเอง

อากาศวันนี้ทั้งหนาวแล้วก็ลมแรง
ท้องฟ้าก็ขมุกขมัวชอบกล


ออกจากสถานีเดินไปทางขวา จะเจอกับป้อมตำรวจหน้าตาน่ารักแบบนี้

โคบังหรือป้อมตำรวจที่มุ้งมิ้งที่สุดเท่าที่เคยเจอมา

ตึกสูงด้านหลังคือโรงแรม Toyoko-inn Kumamoto Ekimae สาขาที่เราพัก

เป็นบิสซิเนสโฮเทลราคากลางๆ แต่มีอุปกรณ์ครบ

แนะนำให้เลือกห้องพักแบบไม่สูบบุหรี่เท่านั้น 
อุปกรณ์ของใช้พื้นฐานอย่างไดร์เป่าผม ตู้เย็น ตู้เซฟ แชมพูหรือสบู่ก็มี รวมถึงมีชุดนอนด้วย 
เราทำบัตรสมาชิกราคา 1500 เยน ใช้ได้ตลอดชีพ

บัตรสมาชิกทำหน้าเคาเตอร์ได้เลย เจ้าหน้าที่จะหยิบกล้องมาแชะ! แล้วก็ได้บัตรสมาชิกมา 1 ใบ

วันปกติได้ลด 5% ส่วนวันอาทิตย์และวันหยุดได้ลด 20%
ทริปนี้เลยพักที่ Toyoko inn ทุกคืนเลย
ข้อดีอีกอย่างนึงก็คือโรงแรมนี้มีสาขาทั่วประเทศ
อย่างในคุมาโมโต้เองก็มีถึง 3-4 สาขาแล้ว

หลังจากฝากกระเป๋าไว้ก่อน เพราะห้องจะเข้าได้หลัง 4 โมงเย็น
เราก็ออกเที่ยวกันเลย

การเดินทางในคุมาโมโต้ก็จะมีทั้งรถบัสประจำทางแล้วก็รถราง
ค่ารถรางและรถบัสท่องเที่ยว ขาละ 150 เยน

ปกติแล้วตามเมืองท่องเที่ยวมักจะมีบัตรเหมาจ่ายค่ารถ
ในคุมาโมโต้เองก็มีบัตร waku-waku pass
ขึ้นได้ทั้งรถบัส รถราง รถท่องเที่ยวภายในเมือง
มีแบบ 1 วันราคา 500 เยน
และแบบ 2 วันราคา 800 เยน
รวมถึงได้ส่วนลดในสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง
(แต่ที่ไหนบ้างนั้นเราอ่านไม่ออก เพราะมันเป็นญี่ปุ่นล้วน)
หาซื้อได้ที่ information ในสถานีรถไฟคุมาโมโต้

wakuwaku 2 days pass ราคา 800 เยน

วันแรกขอเบาๆ ด้วยสวน Suizenji
เป็นสวนญี่ปุ่นที่สวยติดอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น

นั่งรถรางลงป้าย Suizenji
แล้วเดินย้อนมาเลี้ยวขวาตรงสี่แยก เดินต่อไปอีกหน่อย
จะเจอเสาโทริอิแบบนี้
ด้านหน้าจะมีร้านค้า แต่ทำไมช่างดูเงียบเหงาจัง


เจอเจ้าหมีคุมามงคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่


เดินต่อไปอีกนิดก็จะเจอซุ้มขายตั๋ว
อย่าลืมโชว์ waku-waku pass เพื่อเป็นส่วนลดได้ 40 เยน

แต่สงสัยเราจะคาดหวังมากไป
ด้วยความที่ตอนนี้มันเป็นฤดูหนาวที่แล้งสุดๆ
ใบไม้ร่วงหล่นโรยรา
สวนมันก็เลยแล้งๆ แห้งๆ เหี่ยวๆ แบบนี้แหละ


แถมท้องฟ้าก็ขมุกขมัว


โดนแฟนแขวะเบาๆ ว่านี่หรือคือสวนที่สวยติดอันดับสวนญี่ปุ่น


แถมเดินเล่นรอบสวนไปได้ครึ่งรอบ ฝนก็ดันตกลงมาอีก
อืม...แค่หนาวคงจะยังไม่พอ ฝนตกลงมาเพิ่มความป่วยให้ตัวเองอีก

ในสวนมีรูปปั้นใครสักคนอยู่
รอบๆ เป็นต้นบ๊วยที่กำลังจะเบ่งบาน



ไม่ได้เห็นซากุระแต่มาเห็นดอกบ๊วยก็โอเคนะ

เดินหลบฝนออกมาจากสวน
เสียดายที่ครั้งนี้สวนสวยน้อยไปหน่อย
แต่เราคิดว่าถ้ามาช่วงเวลาอื่นสวนคงจะสวยกว่านี้แหละมั้ง
(ไปนั่งอ่านรีวิวคนอื่นมา หน้าอื่นสวนกว่าหน้านี้จริงๆ นั่นแหละ)

ส่วนที่ดีที่สุดของสวน Suizenji วันนี้ก็คือ ร้านคุณลุงขายผลไม้หน้าสวน
ราคาถูกกว่าย่านใจกลางเมืองเยอะเลย



เพิ่งเคยกินสตรอว์เบอรี่ของญี่ปุ่น
อย่างแรกเลยคือมีกลิ่นหอมมาก สตรอว์เบอรี่บ้านเราจะไม่ค่อยมีกลิ่นหอม
แล้วเนื้อก็ฟู นุ่มๆ กว่าบ้านเรา ในขณะที่บ้านเราเนื้อจะแน่นกว่า แข็งกว่า
ส่วนขนาดนั้น เห็นขายแต่ไซส์ใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลย

ไม่อยากจะว่าให้สตรอว์เบอรี่บ้านเราน้อยใจแต่ของที่นู่นอร่อยกว่าจริงๆ


วันนี้อยากกินอะไรร้อนๆ เลยจัดราเมง Ichiran Ramen 
แถว Shimotori อันเป็นย่านช๊อปปิ้งของเมือง
รสชาติยังคงอร่อยเหมือนเดิม


ถ้าถูกใจก็ซื้อกลับไปกินบ้านก็ได้ 
ส่วนเราลืมซื้อกลับมา โถ..


เดินออกไปดูร้านรวง 
เจอสตรอว์เบอรี่ใส่รูปเจ้าหมีคุมามง 1 ตัวราคาอัพขึ้นไปอีกเท่าตัว


ซื้อกลับมากินที่ห้องจิ้มกับนมข้นรูปวัว..
กินเปล่าๆ อร่อยกว่านะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น