วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Kansai. I, You, We, There(2)

Have you read part (1) yet>>> Click

Day 03: KYOTO

เราว่าโอซาก้าเป็นเมืองที่ทำเลดีมากสำหรับการท่องเที่ยวแบบ 1 Day Trip 
เพราะว่าเมืองท่องเที่ยวดังๆ ทั้งหลายทั้ง 
- เกียวโต 
- นารา 
- โกเบ 

สามารถเดินทางจากโอซาก้าได้โดยใช้เวลาแค่ราว 1 ชั่วโมง


เราเดินทางจากโอซาก้าด้วยรถไฟ JR มาลงสถานีเกียวโต 
เลือกเดินทางด้วย JR เพราะง่ายที่สุด สะดวกที่สุด ต่อเดียวถึงเลย
ที่สถานีเกียวโตมีร้านขายข้าวกล่องด้วย เลยตัดสินใจว่าจะกินข้าวกล่องรถไฟเป็นอาหารเที่ยง
ได้อารมณ์ปิกนิกดี

ekiben มีหลายแบบ หลายราคา เลือกกันไม่ถูก

จากสถานีเกียวโตนั่งรถไฟต่อไปสถานี Inari เพื่อไปศาลเจ้าจิ้งจอก Fushimi Inari




เดินออกจากสถานีก็ถึงศาลเจ้าจิ้งจอกเลย ง่ายดีจัง


คนมากมายมหาศาล แถวโทริอิแดงก็เช่นเดียวกัน


ใช้เวลากับที่นี่ไปพอสมควร ทั้งๆ ที่ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากเสาโทริอิสีแดงนี่แหละนะ
ความจริงถ้าเราเดินเรื่อยๆ ตามเสาโทริอิ ก็จะสามารถเดินถึงยอดเขาได้ด้วย
แต่เรามีโปรแกรมต่อแบบแน่นเอี๊ยด เลยขออำลาศาลเจ้าจิ้งจอกแต่เพียงขั้นที่ 2 เท่านี้

แล้วนั่งรถไฟย้อนกลับมาที่สถานีเกียวโต ซื้อตั๋ว Kyoto City Bus 1 Day Pass 
ราคา 500 เยน 
ก็คิดว่าน่าจะคุ้มนะ เพราะราคาค่ารถที่เกียวโตเที่ยวละ 230 เยน ถ้าไปเกิน 1 ที่ก็น่าจะคุ้มอยู่

ซึ่งตอนไปซื้อตั๋วรถเค้าก็จะแจกแผนที่ให้เราด้วย เราก็ต้องใช้แผนที่นี่แหละคอยดูว่ารถบัสสายไหนผ่านจุดที่เราจะไปบ้าง ไม่งงนะ ทำแผนที่ได้ดีงามมาก เราขอชื่นชม

เกียวโตทาวเวอร์หน้าสถานีเกียวโต

สถานที่แรกคือ วัดคินคะคุจิ Kinkaku-ji หรือวัดทอง 
นั่งรถนานมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
นานจนอยากหลับ แต่จะหลับก็ไม่กล้า กลัวเลยป้ายไง 
แต่รถที่เกียวโตมีป้ายภาษาอังกฤษบอกด้วยนะ ไม่ต้องกลัวหลง
แต่เราเป็นนักท่องเที่ยวขี้ตื่่นไง ไม่นอนก็ได้ 


รถบัสสายที่กลับและออกจากสถานีเกียวโตคนจะแน่นมาก
ยิ่งตอนขากลับไปสถานีเกียวโตนะ แน่นยิ่งกว่านี้อีก



ไปถึงป้ายวัดทองปุ๊บ กินข้าวกล่องที่ซื้อมาก่อนเลยจ้ะ 
ขอแนะนำข้าวกล่องที่เรากิน เพราะงานกินเราจริงจังเสมอ :D

กล่องนี้ข้างในจะเป็นข้าวสามเหลี่ยมห่อด้วยใบไม้คล้ายๆ ใบจาก (แน่นอนล่ะว่าไม่ใช่ใบจาก)
ข้างในก็จะเป็นหน้ากุ้ง หน้าปลา และปลาแซลม่อน งานดี อร่อยมาก ขโมยเพื่อนกินหลายอันมาก



 ส่วนอีกกล่อง 






ด้านในกล่องเป็นข้าวหน้าปลาซะบะห่อด้วยใบพลับ อร่อย 
ทั้ง 2 กล่องราคาไม่ถึง 1 พันเยนนะ ประมาณ 700-900 เยนนี่แหละ จำราคาที่แน่นอนไม่ได้

กินเสร็จไปซื้อตั๋วเข้าวัดทอง เสียเงินกันอีกแล้ว



พอเห็นตั๋วที่ซื้อมา ตกใจเลยจ้า ใหญ่มาก

นี่ตั๋วเข้าชมหรือยันต์แปะฝาผนังอ่ะแก

ทุกวันนี้ยังแปะไว้บนหัวนอน รู้สึกดี อุ่นใจเหมือนมียันต์คุ้มภัยอยู่ในห้อง ฮ่าๆ



เสร็จแล้วก็ถือยันต์ อ๊ะ บัตรเข้าชมผ่านเข้าไปด้านใน
พอเดินเข้าไปก็ถึงจุดยอดนิยมเลย คือสระน้ำหน้าปราสาททอง
คนก็เยอะมากอีกเช่นเดียวกัน



ที่นี่ก็ต้องเดินตามทางที่กำหนดไว้ เริ่มจากมาชมปราสาททองก่อนแล้วก็เดินออกมาลัดเลาะชมสวนสวยจนวนออกมาที่ทางออกอีกด้านนึง 
พอออกจากวัดทอง ประเมินดูแล้วเราคงไปไหนกันไม่ทันแน่
ตัดทุกโปรแกรมออก ลัดไปโปรแกรมสุดท้ายวัดน้ำใส Kiyomizu กันเลย

ออกจากวัดทองเราก็ต่อรถไปวัดน้ำใส Kiyomizu ไม่ต้องจ่ายเงินเช่นเดิม เพราะใช้บัตร bus pass
ลงป้ายที่วัดน้ำใสแล้วต้องเดินขึ้นเนินไปอีกไกลมาก ตอนเราไปนี่ก็ 5 โมงแล้ว
ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็เดินลงมา มีแต่พวกเรานี่แหละเดินสวนขึ้นไป
ตลอดทางก็เป็นร้านรวง หลอกล่อให้เสียเงินมาก
แต่จุดมุ่งหมายของเราคือวัดน้ำใสก่อน เดี๋ยววัดปิด

พอขึ้นมาถึงสุดถนน เราก็มาเจอกับประตูและเจดีย์สีแดงนี้

อ้าว.. งง ทำไมหน้าตาไม่เหมือนกับในรูป ที่เราเห็นตามเน็ต

เลยเดินขึ้นไปก็เจอจุดที่สามารถมองเห็นได้ทั้งเมือง สวยดี


พอถ่ายรูปจุดนี้เสร็จก็งงต่อ
ไม่รู้จะไปทางไหนดีต่อ เห็นขบวนนักเรียนมาทัศนศึกษาก็เลยเดินตามเขาไปเลย
เจอจุดซื้อตั๋ว เสียเงิน (อีกแล้ว)
ถ้าจำไม่ผิดก็ราวๆ 300 เยน



























พอไปถึงด้านในปุ๊บ
ผ่าง! คนเยอะมากกกกกก



ทั้งนักเรียน และนักท่องเที่ยว
แต่ขอเมาส์ นักเรียนมัธยมที่มาทัศนศึกษาที่นี่แต่งหน้าจัดมาก ไม่มีที่ให้ความใสของวัยสาวเลยลูก



แล้วถ้าเคยอ่านรีวิววัด kiyomizu มาบ้าง ก็อาจจะเคยเห็นรูประเบียงวัดคิโยมิซึ
ซึ่งถ้าจะถ่ายรูปมุมนี้เราต้องเดินไปถ่ายที่ระเบียงทางเดินใกล้ๆ กัน

พอเราจะเดินไปถ่ายบ้าง
ผ่าง!



คนมากมายมหาศาล
เราก็คิดนะว่าถ้าเราเดินไป ระเบียงมันจะถล่มลงมารึเปล่าวะ แม้จะมั่นใจในมาตรฐานญี่ปุ่นก็เหอะ
แล้วเขาบังคับเดินทางเดียว
ถ้าเราไปทางระเบียงนี้เราก็ต้องเดินต่อไปจนสุด เดินสวนมาไม่ได้
จอย ซึ่งเป็น 1 ในผู้ร่วมทริปก็กลัวความสูง
ส่วนเราก็รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยของระเบียงตรงนั้น เลยไม่เข้าไปถ่ายแล้ว
ถ่ายอยู่ตรงปากทางก็ได้ เลยได้รูปมุมนี้มา



กับภาพเซลฟี่ :)



แล้วก็ลงเดินไปดื่มน้ำ 3 สายที่ศักดิ์สิทธิ์ว่ากันว่า จะได้รับพรทั้งเรื่องเรียน ความรัก และสุขภาพ



























คนต่อคิวเยอะพอสมควร ก็ยืนต่อไป 10 นาที
สายน้ำที่ 1 คือ ด้านการศึกษา
สายน้ำที่ 2 คือ ด้านความรัก
สายน้ำที่ 3 คือ ด้านสุขภาพ
แต่เราก็ไม่รู้ว่านับสายไหนเป็นสายที่ 1 นะ



























ออกจากวัดคิโยมิสึก็มืดพอดี เดินถนนสายช๊อปปิ้งที่ปิดเร็วมาก
คือปิดตามเวลาปิดของวัดนั่นแหละ


























ไอ้เราก็หิว ไม่รู้จะกินอะไรดี เลยได้ของกินหน้าตาแบบนี้มา



อร่อยมากอ่ะ อุ๊บ..ขออภัยคุณป้าด้วยที่โดยปิดหน้าด้วยของกิน

ไม้เดียวเติมพลังกันจนได้ที่ก็เดินไปขึ้นรถบัสกลับสถานีเกียวโต
ไปถึง 1 ทุ่มมีการแสดงน้ำพุหน้าสถานีเกียวโตพอดี



แล้วก็ยืนจนไปถึงสถานีโอซาก้าเพราะคนกลับขบวนนี้เยอะมาก ทั้งนักท่องเที่ยวและคนทำงาน
พอถึงโอซาก้าก็ช๊อปกระจายที่ดองกี้ เพราะ 2 สาวร่วมก๊วนจะเดินทางไปเที่ยวโซลพรุ่งนี้แล้ว


please continue reading part 3.

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Kansai. I, You, We, There (1)



















ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ใครไปก็น่าจะหลงรัก และเราก็เช่นกัน
แต่เราก็ไม่เคยคิดหรอกนะว่าจะได้ไปญี่ปุ่นถึง 3 ครั้งในรอบ 1 ปี

จากตอนกลางแถวคันโต มาเกาะคิวชู
และครั้งนี้ ภูมิภาคคันไซ

DAY 01 : OSAKA

สนามบินนานาชาติคันไซ โอซาก้า
เครื่องบินของ ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ เที่ยวบิน XJ 610 ลงจอดบนสนามบินคันไซเวลา 22.40 น.
เรียกได้ว่าเป็นเวลาที่ไม่ค่อยดีเลย นอกจากจะลงเครื่องดึกแล้ว รถไฟซึ่งเป็นยานพาหนะที่เรียกว่าแทบจะสะดวกสบายที่สุดในญี่ปุ่น ออกจากสนามบินเที่ยวสุดท้ายคือ 23.40 น.

แต่ถ้าไม่โอ้เอ้ เอ้อระเหย ลอยชายแล้วละก็ เราก็สามารถมาทันเที่ยวรองสุดท้ายคือรอบ 23.29 น.นะ 
ซึ่งจะใช้เวลาเดินทาง 41 นาทีถึงสถานี Shinimamiya อันเป็นจุดหมายปลายทางของเราในวันนี้


Hotel Raizan ถ่ายตอนเช้า
HOTEL RAIZAN SOUTH
ถูกเลือกมากจากโรงแรมจำนวนมากมายด้วยคุณสมบัติ
 - ราคาถูก
 - มีห้องส่วนตัวให้
 - มีห้องสำหรับ 3 คน

ห้อง 3 คน สำหรับ 3 คืน รวม 20,700 เยน หรือประมาณคืนละ 690 บาท/คน/คืน
ส่วนห้องเดี่ยวก็ตกคืนละ 2,200 เยน หรือราวๆ 660 บาท/คืน

มีสุขาในแต่ละชั้น และห้องอาบน้ำอยู่ชั้น 1 






ส่วนนี่คือห้องของเรา ห้องพักแบบญี่ปุ่นขนาดพอดีกับฟูก 3 หลังเป๊ะๆ ห้อง 821


ส่วนนี่คือห้องนอนแบบตะวันตก ขนาดเตียงเดี่ยว เลขห้องที่ออกคือห้อง 823


กว่าจะมาถึงโรงแรมก็เกือบๆ ตี 1 แต่ก็ยังสู้อุตส่าห์ฝ่าฝนตกปรอยๆ เพื่อไป Lawson หาอะไรกินอีก 
กว่าจะได้นอนก็ตี 2 กว่าๆ และต้องตื่นกันแต่เช้า เพราะพรุ่งนี้โปรแกรมเที่ยวเองรอเราอยู่

DAY 02: OSAKA - KOBE

มีการเปลี่ยนแผนการนิดหน่อย เพราะเช้านี้ฝนตก 
จากเดิมที่วันนี้จะไปเกียวโต เลยเปลี่ยนมาเป็นโอซาก้ากับโกเบแทน
การเดินทางครั้งนี้ใช้แต่บัตรเติมเงิน ICOCA กับ ซื้อบัตรเป็นรายเที่ยวเอา




มาถึงหน้าปราสาทโอซาก้าก็มีเรื่องให้ตื่นเต้น เพราะมีทั้งรถดับเพลิง และรถตำรวจวิ่งเข้าปราสาทเต็มไปหมด
ตอนแรกนึกว่าซ้อมดับเพลิง แต่ได้ความจากคุณลุง (แน่นอนว่าคนนึงคุยญี่ปุ่น อีกคนคุยภาษาอังกฤษ) มีคนแอบสูบบุหรี่ในห้องน้ำ สัญญาณเตือนภัยเลยดังไปที่สถานีดับเพลิง ทั้งรถดับเพลิงและรถตำรวจเลยรีบมาที่นี่กันเลย


ปราสาทโอซาก้าในวันที่ฝนตก คนก็ยังเยอะอยู่ดี




ถ้าเลือกชมรอบๆ ปราสาทก็ไม่เสียค่าเข้า แต่ถ้าจะเข้าชมตัวปราสาทด้วยก็ต้องเสียค่าตั๋ว 600 เยน
ซื้อตั๋วได้จากตู้ขายตั๋วอัตโนมัติหน้าทางเข้าปราสาทเลย ไฮเทคมากๆ 
#ญี่ปุ่นนี่มันญี่ปุ่นจริงๆ 



ด้านบนสุดชั้น 8 เป็นจุดชมวิว

กับซาชิ หรือปลามังกรสีทองที่เชื่อว่าจะป้องกันปราสาทไม่ให้เกิดไฟไหม้ เห็นได้แทบทุกปราสาท


ส่วนชั้นอื่นๆ เป็นการแสดงสิ่งของเก่า และประวัติของปราสาทโอซาก้า
การนำเสนอเป็นภาษาญี่ปุ่นเสีย 90% 

ตอนแรกตั้งใจว่าจะใช้เวลาที่นี่แค่ 1 ชั่วโมง แต่เอาเข้าจริงก็เกือบ 3 ชม.ได้ 
คงมัวแต่แวะถ่ายรูปดูนั่น นู่น นี่ไปเรื่อยๆ

ออกจากปราสาทโอซาก้าก็เดินทางไปโกเบต่อ

ไปโกเบ ลงสถานี Sannomiya แล้วก็กูเกิ้ลแมพพาไปร้านเนื้อเลย
ตอนแรกจะไป steak land แต่ที่จริงแล้วแถวนี้มีร้านสเต๊กเยอะมาก 
ร้าน steak land คนต่อแถวเยอะมากจริงๆ 
แล้วเราก็คิดกันว่า มันต้องมีแต่คนไทยแน่เลย เพราะทุกคนต้องใช้ไกด์บุ๊คเล่มเดียวกับเรา

จู่ๆ ก็เกิดอาการอินดี้กัน ไม่กินร้าน steak land ค่ะ
ไปกินร้านเนื้อโกเบร้านอื่น ที่มีคนยืนเชียร์แขกหล่อดีกว่าค่ะ


ร้าน YAZAWA คือร้านที่เราเลือกแล้วว่า พนง.หล่อ  และดี ฮ่าๆ
และเมื่อชิมเนื้อแล้วก็ไม่ผิดหวัง เราอาจจะไม่ได้นั่งเห็นพ่อครัวย่างกันสดๆ แต่พอมาคิดดูแล้วก็โอเคนะ
เราไม่ชอบกลิ่นเนื้อที่ติดตัวเลย แต่พนง.หล่อนั้นติดตา

 เวลาจะถ่ายรูป พนง.ก็จะเอาพร๊อบทั้งหลายมาตั้งให้ถ่ายบนโต๊ะว่าเนื้อเค้าไม่ธรรมดานะเธอ ฮ่าๆ


ส่วนความอร่อยของเนื้อนั้น อร่อยดี ไม่เสียใจและเสียดายเงิน
กินอิ่ม เพื่อนบอกไม่สนใจอะไรในโกเบแล้ว กินเนื้อโกเบแล้ว ตายตาหลับแล้ว ฮ่าๆ
งั้นเรากลับไปโอซาก้า ไปหากูลิโกะแมนกัน

การถ่ายรูปกับกูลิโกะแมนนี่ก็เป็นความยากลำบากอีกอย่างนึง 
นั่นก็เพราะว่า พอป้ายชัดหน้าเราก็มืด พอถ่ายให้เห็นหน้าเราชัด เราก็ไม่เห็นป้ายอีก ว้า...แย่จัง

เราก็พยายามมาได้สูงสุดเท่านี้แหละ

แถวนี้มีทั้งของกินแล้วก็เป็นแหล่งช๊อปปิ้งของฝาก เดินเล่นได้เลย


คุณตัวตลกตีกลองชื่อ Kuidaore Taro ตีกลองมาตั้งแต่ปี 1950
คือชอบอ่ะ ดูตลกดี
ส่วนอันนี้คุณจอยเพื่อนร่วมทริป

มาถึงนี่ก็ลองกินทาโกยากิกับโอคาโนมิยากิ 

เจอร้านหอยย่างด้วย อร่อยมาก

และเจ้าคุณพ่อเจ้าคุณแม่สอนมาดี กินคาวแล้วต้องตามด้วยหวาน
ค่ำคืนนี้จึงปิดท้ายด้วยไอติมกูลิโกะ 



สำหรับคืนนี้ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
おやすみなさい.